ถ้าเป็นเรื่องของนิมิตแสงสีและภาพต่าง ๆ ยิ่งไม่สนใจก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้น แต่เราก็ต้องรู้เหมือนกับไม่รู้ สักแต่ว่าเห็นเท่านั้น ถ้าไม่สามารถทำกำลังใจอย่างนี้ได้ มัวแต่ไปติดอยู่กับนิมิตอยู่ ความก้าวหน้าในการปฏิบัติก็ไม่มี เป็นอันว่าพวกเราทุกคน หลักการปฏิบัติเป็นอย่างไรรู้อยู่ สามารถทำได้แล้ว แต่วิธีการปฏิบัติในบางจุดอาจจะยังไม่ค่อยเข้าใจ จึงต้องมาแนะนำกันอย่างนี้
การแนะนำในวันนี้จึงขอสรุปลงตรงที่ว่า การปฏิบัติในพระพุทธศาสนา คือ ศีล สมาธิและปัญญา เป็นการควบคุมกายวาจาใจของเราให้อยู่ในกรอบ จนกระทั่งจิตของเรานิ่งใสถึงระดับปัญญามันจะเกิด แล้วจะสามารถพิจารณาให้รู้แจ้งเห็นจริงในสภาพร่างกายและสภาพของโลก แต่ว่าการปฏิบัติทุกระดับ คำตอบจะอยู่ในสมาธิแทบทั้งหมด สมาธิจะทรงตัวได้ต่อเมื่อมีอานาปานสติ คือ ลมหายใจเข้าออกเป็นเครื่องควบคุม ส่วนอาการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นการรู้เห็นความเจ็บปวด หรือว่าการหายใจบ้างไม่หายใจบ้างก็ตาม ให้เรากำหนดดู กำหนดรู้ ไว้แต่ตามปกติ คิดเสียว่าเรามีหน้าที่ปฏิบัติภาวนา เมื่อมันอยากภาวนาก็ภาวนาไป เมื่อมันอยากหยุดภาวนาก็ปล่อยมันหยุดไป มันจะเป็นอย่างไร เรามีหน้าที่ดูเท่านั้น
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วสันต์วิษุวัต : 11-01-2011 เมื่อ 12:04
|