ถ้าหากว่าตามที่พระพุทธโฆสาจารย์ท่านอธิบายไว้ในวิสุทธิมรรค จะกล่าวว่า ฌานที่ ๒ ละวิตก วิจารณ์ เหลือแต่ปีติ สุข และเอกัคคตารมณ์ ครูบาอาจารย์บางท่านก็ใช้คำว่า ตัดวิตก วิจารณ์ เหลือแต่ปีติ สุข และเอกัคคตารมณ์
ขอยืนยันว่า เราไม่ต้องไปตั้งใจละ เราไม่ต้องไปตั้งใจตัดสิ่งใดทั้งสิ้น ให้กำหนดดู กำหนดรู้การภาวนาของเราไปเรื่อย ๆ ถ้าสมาธิทรงตัวสูงขึ้น ก็จะก้าวข้ามไปเอง ถ้าก้าวข้ามไปแล้ว ก็จะไม่มีวิตก ไม่มีวิจารณ์ เหลือแต่ปีติ สุข และเอกัคคตารมณ์เท่านั้น
ลักษณะของการก้าวข้ามนี้ ถ้าคนรู้จักสังเกต จะรู้สึกว่าลมหายใจเบาลง บางทีรู้สึกเหมือนกับไม่มี คำภาวนาบางทีก็หายไป ให้เรากำหนดรู้ไว้เฉย ๆ ว่าตอนนี้ลมหายใจเบาลง ตอนนี้ลมหายใจหายไป คำภาวนาไม่มี ก็ให้กำหนดรู้ไว้เฉย ๆ ว่าตอนนี้คำภาวนาไม่มี
ถ้าหากว่ามีลมละเอียดยังวิ่งอยู่ระหว่างจมูก..อก..ท้อง ท้อง..อก..จมูก สามารถกำหนดได้ ก็กำหนดรู้ไป ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายสามารถก้าวมาถึงตรงจุดนี้ ให้รู้ว่านี่เป็นทุติยฌานคือ ฌานที่ ๒
หลังจากนั้น ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายกำหนดดู กำหนดรู้ต่อไปเรื่อย กำลังใจ กำลังสมาธิที่ก้าวล่วงไปก็จะเริ่มเป็นฌานที่ ๓ ก็คือ ตัวปีติจะหายไป เหลือแต่สุข และเอกัคคตารมณ์เท่านั้น
ไม่ต้องไปตัด ไปละเช่นกัน แค่กำหนดดูกำหนดรู้ ทำตามกติกาของเราไปเรื่อย โดยไม่ไปตกใจ ไม่ไปตะเกียกตะกายหายใจเสียใหม่ ก็จะก้าวเข้ามาถึงฌานที่ ๓
อาการภายนอกนั้น ถ้าหากว่าเป็นน้อย ๆ ก็จะรู้สึกเหมือนกับว่าบริเวณจมูก ปาก หรือคางของเรานั้นเย็นแข็งไปเฉย ๆ บางทีก็รู้สึกว่าเม้มปากแน่น จนกระทั่งไม่สามารถที่จะอ้าปากออกมาได้
แต่ถ้าหากว่าเป็นมาก ก็รู้สึกว่าตัวเกร็งแน่น แข็งไปหมด หรือว่าบางท่านรู้สึกเหมือนกับว่าโดนมัดตั้งแต่ตัวลงไปจนถึงปลายเท้า แข็งทื่ออยู่อย่างนั้น บางท่านก็รู้สึกว่าปลายมือปลายเท้าเริ่มแข็ง รวบเข้ามา ๆ เหมือนจะโดนสาปให้เป็นหินอย่างนั้น
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-11-2010 เมื่อ 02:52
|