ใต้ฟ้าอิระวดี
“ฟ้าลุ่มอิระวดี..คืนนี้มีแต่ดาว แจ่มแสงแวววาว เด่นอะคร้าว สว่างไสว…” เสียงของชรินทร์ นันทนาคร ในเพลงผู้ชนะสิบทิศดังขึ้น จังหวะพอดีกับรถเคลื่อนถึงด่านตรวจคนเข้าเมืองฝั่งพม่า เจ้าหน้าที่ผิวกาแฟไม่ใส่นม เช็กจำนวนคนแล้วบอกด้วยภาษาไทยเสียงแปร่ง ๆ ว่า “สามคนเจ็ดสิบห้าบาทครับ…” พระไม่ต้องจ่ายสบายไป…
ด่านเจดีย์สามองค์ พม่าเรียกว่าพะยาตงซู มีฐานะเป็นกิ่งอำเภอ ขึ้นกับเมืองจะอีน รัฐกะเหรี่ยง ก่อนหน้านี้ขึ้นอยู่กับรัฐมอญ แต่รัฐบาลพม่าต้องการเอาใจกะเหรี่ยง เลยยกมาขึ้นกับรัฐกะเหรี่ยง อนาคตจะขึ้นกับรัฐไหนอีก ก็ต้องแล้วแต่อารมณ์ของรัฐบาลทหารจะเห็นสมควร...
ด่านเจดีย์สามองค์ ช่องทางผ่านเข้าพม่า
รถยนต์ฝั่งนี้วิ่งชิดขวา เวลาแซงต้องแซงทางซ้าย สำหรับคนที่ไม่เคยแล้ว รู้สึกประดักประเดิดพิลึก รถเมล์จากเมืองไทยมาวิ่งเมืองพม่า ต้องเจาะประตูให้ผู้โดยสารลงทางขวาแทน ถ้าลงทางซ้ายแบบบ้านเรา ก้าวลงมาจะอยู่กลางถนนพอดี มีหวังได้ไปเกิดใหม่ในเวลาอันรวดเร็ว..!
ทิดจิตร (จิตติพัฒน์ เอี่ยมโอด) เลี้ยวขวาไปตามทางแคบ ๆ ที่ต้องผ่านโรงพยาบาลซึ่งหลวงพ่ออุตตะมะ (พระราชอุดมมงคล) มาสร้างไว้ให้ พ้นจากโรงพยาบาลเป็นทางฝุ่นขรุขระ พามุ่งไปสู่วัดตองไว (เขาล้อม) ซึ่งมีชื่อไทยว่าวัดป่าภูผากำแพง ห่างจากด่านเจดีย์สามองค์ ๒ ไมล์ (พม่านับตามมาตราอังกฤษ)…
ทางเข้าวัดตองไวห่างจากตลาดพะยาตงซูประมาณ ๒ ไมล์
ท่านอาจารย์สุมังคะละเจ้าอาวาส รีบลงมาต้อนรับกราบไหว้ปฏิสันถารด้วยความดีใจ ท่านอังกุระกับท่านจันทิมา ที่เคยไปฝึกมโนมยิทธิที่วัดท่าซุงก็อยู่ด้วย พระพม่าเขาเรียกกันเฉพาะฉายา เมื่อบวชแล้วลืมชื่อฆราวาสไปได้เลย ฉายาของท่านทุกรูปจะลงท้ายด้วยเสียงอะ เสียงอา เสียงอิ ขณะที่ของไทยลงด้วยเสียงโอ เสียงอี เป็นต้น…
อาตมาข้ามมาพม่าปีละหลายครั้ง ส่วนใหญ่จะเลาะอยู่แค่ตามตะเข็บชายแดน เห็นวัดไหนลำบากก็ช่วยเขาไปเรื่อยตามกำลัง วัดตองไวนี้ก็เช่นกัน อาตมาซื้อเครื่องปั่นไฟให้ และขนข้าวของเครื่องใช้มาให้ทีละเป็นคันรถ แต่มาคราวนี้อาตมาตั้งใจจะไปนมัสการพระมหาเจดีย์ชเวดากอง หลวงพ่อพระมหามุนี และพระบรมธาตุอินทร์แขวน…
ท่านนาวิน (พระนาวิน สจฺจญาโณ) พระพม่าที่บวชจากฝั่งไทย ผู้รับอาสาเป็นมัคคุเทศก์ให้ ยังติดธุระอยู่ ขอเวลาอีก ๔ - ๕ วัน อาตมาทราบล่วงหน้ามาก่อนแล้ว จึงเตรียมหนังสือมาอ่าน ๒ ฉบับ ถ้ายังมีหนังสือให้อ่าน จะให้อาตมานอนรอกี่วันก็บอกมาได้เลย…
พระประธานบนศาลาการเปรียญวัดตองไว
ไม่ได้นอนอย่างที่คิดซะแล้ว ท่านอาจารย์สุมังคะละขอร้องให้ช่วย สอนหนังสือหนูแมว (Myo) หรือที่อาตมาเรียกง่าย ๆ ว่า “ลูกแมว” ให้ด้วย ลูกแมวจบชั้น ๑๐ Standard (เทียบเท่า ม.๖ ของไทย) จากเมืองย่างกุ้ง แล้วไม่ได้เรียนต่อในมหาวิทยาลัย เพราะถูกทางการสั่งปิด เนื่องจากนักศึกษาเดินขบวนเรียกร้องประชาธิปไตย…
ลูกแมวมากับคุณยายคือแม่ออกกงซุ่ย เพิ่งเรียนหนังสือไทยได้ไม่ถึง ๑๐ วัน แต่เขียนพยัญชนะกับสระคล่องแล้ว กำลังหัดสะกดคำอยู่ สงสัยยายหนูเธอจะสำเร็จนิรุกติปฏิสัมภิทา แค่แนะหลักให้หน่อยเดียวก็คล่องปรื๋อ สะกดคำแจ้ว ๆ ไปเลย บางคำออกเสียงไม่ชัด อาตมาต้องเทียบเสียงภาษาอังกฤษให้ ถ้าไม่มีคำตรงจริง ๆ ก็ต้องบอกทีละคำ ให้เลียนเสียงเป็นนกแก้วนกขุนทอง น่าสนุกดีเหมือนกัน…
คนเรียนไม่เหนื่อย แต่คนสอนแก่แล้วสู้ไม่ไหว ยอมยกธงขาวตั้งแต่สี่โมงเย็น (เวลาพม่าช้ากว่าไทยครึ่งชั่วโมง) แม่ออกกงซุ่ยยิ้มกว้างจรดใบหู ดูท่าภูมิใจในตัวหลานสาวมาก กระนั้นก็ยังบอกเป็นภาษาลาวว่า “ครูบา... อย่าใจดีหลาย ตีมันบ้างเน้อ…” ท่านอาจารย์สุมังคะละกับท่านนาวินมีเชื้อลาว มาพม่าใครพูดลาวได้ก็พอไปมาได้สะดวกอยู่…
ตอนค่ำไปกิจนิมนต์ในตลาดพะยาตงซู
ตอนค่ำไปกิจนิมนต์ในตลาด อาตมานั่งหัวแถวให้ศีล ท่านอาจารย์สุมังคะละนำเจริญพระพุทธมนต์ เสร็จแล้วญาติโยมถวายน้ำร้อนน้ำชา หมากพลู บุหรี่ เสียงเว้าลาวให้แซ่ดไปหมด เลิกงานกลับมาถึงวัด เขาติดเครื่องปั่นไฟสว่างไสว เด็ก ๆ มากันมาก เพราะได้วิดิโอมาจากฝั่งไทย ๒ ม้วน ตั้งท่าดูกันแบบไม่ไล่ไม่เลิกเด็ดขาด..!
ทั้งพระ เณร เด็ก ผู้ใหญ่ รุมกันเต็มหน้าจอ ก็น่าเห็นใจอยู่ ความบันเทิงของเขามีแต่ละครพม่า (คล้าย ๆ ลิเกของเรา) ใครมีวิดิโอมักจะมีคนร่วมดูแบบไม่ต้องเกรงใจเจ้าของกันแบบนี้แหละ อาตมาขอตัวเข้านอน แผ่เมตตา ยกจิตขึ้นไปกราบพระบนนิพพาน ตัดอารมณ์จากเสียงเฮฮาหน้าจอ หลับไปในเวลาอันรวดเร็ว...
คลิกเพื่ออ่านตอนต่อไป
__________________
ไม่ติดในสุข ไม่กังวลในทุกข์ วางเฉยในร่างกายนี้ ปล่อยวางภาระทั้งปวง ยอมรับกฎของกรรม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-06-2010 เมื่อ 16:17
|