ดูแบบคำตอบเดียว
  #2  
เก่า 24-12-2012, 08:42
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,530
ได้ให้อนุโมทนา: 151,474
ได้รับอนุโมทนา 4,406,570 ครั้ง ใน 34,120 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

คราวนี้ในช่วงที่เราเอาทองคำมาถวายนั้น เราเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ เพราะเราไม่ได้ละเมิดศีลข้อใดทั้งสิ้น ถ้ากำลังใจของเรามีการตั้งใจงดเว้น ก็ถือว่าศีลทุกสิกขาบทในช่วงนั้นบริสุทธิ์บริบูรณ์อยู่ เมื่อเป็นเช่นนั้น..ในการที่เราตั้งใจถวายทองคำเพื่อหล่อพระ ก็อย่าให้ได้อานิสงส์แค่ทานเท่านั้น แต่ให้ได้อานิสงส์ของศีลซึ่งสูงกว่าทานหลายเท่า และให้ได้อานิสงส์ของการภาวนาซึ่งสูงกว่าศีลหลายเท่าเช่นกัน ถ้าเป็นดังนี้ เราก็จะสามารถได้บุญได้กุศลอย่างเต็มที่จากการถวายทองคำร่วมหล่อพระเป็นพุทธบูชา

การที่เราเป็นผู้รักษาศีลนั้น ก็แปลว่าเราเป็นผู้ไม่ละเมิดศีลด้วยตัวเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นละเมิดศีล ไม่ยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นละเมิดศีลด้วย ในส่วนของการภาวนานั้น ให้เราพิจารณาเห็นอยู่เสมอว่า ตัวเราที่เป็นทายก (ผู้ให้) ก็ดี ตัวของพระที่เป็นปฏิคาหก (ผู้รับ) ก็ดี ท้ายสุดต่างคนต่างก็เสื่อมสลายตายพังไปจากโลกนี้ ไม่สามารถจะอยู่ยงดำรงขันธ์ตลอดไปได้

เมื่อเป็นเช่นนั้น เราก็จะเห็นได้ชัดเจนว่าร่างกายนี้ไม่เที่ยง คือไม่สามารถที่จะทรงอยู่ได้อย่างใจ ถ้าเราไปยึดถือมั่นหมายว่าเป็นเราเป็นของเรา ทั้ง ๆ ที่ร่างกายนี้เป็นสมบัติของโลก คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ที่รวมกันขึ้นมา เป็นที่อาศัยของเราชั่วครั้งชั่วคราว แล้วเราก็ไปยึดติดว่านี่คือตัวกู นี่คือของกู ก็แปลว่าเราวางกำลังใจผิด

ถ้าเราเห็นได้ชัดเจน ว่าร่างกายนี้ไม่มีอะไรเป็นเรา เป็นของเราได้ ก็แปลว่าตัวปัญญาของเรานั้นอยู่ในระดับดีใช้ได้ เพียงพอที่จะกระทำการตัดละ เพื่อให้กิเลสหมดไปจากใจของเราได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-12-2012 เมื่อ 09:53
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 66 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา