แต่สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ถ้าเราพยายามพิจารณาแล้ว ถ้าสภาพจิตยอมรับได้ยาก ก็แยกแยะร่างกายของเราออกเป็นธาตุ ๔ ก็ได้ ว่าส่วนไหนแข็งเป็นแท่งเป็นก้อน เป็นชิ้นเป็นอัน ก็เป็นธาตุดิน ส่วนไหนเหลวไหลเอิบอาบ เคร่งตึงอยู่ในร่างกายก็เป็นธาตุน้ำ ส่วนไหนพัดไปมาได้ ไม่ว่าจะพัดขึ้นเบื้องสูง พัดลงเบื้องต่ำ พัดไปทั่วร่างกายก็เป็นธาตุลม ส่วนที่ให้ความอบอุ่นก็เป็นธาตุไฟ พยายามแยกแยะออกให้ละเอียดที่สุดเท่าที่ละเอียดได้
เมื่อแยกออกเป็นดิน เป็นน้ำ เป็นลม เป็นไฟ จนไม่มีอะไรเหลืออยู่ เราก็จะเห็นว่าร่างกายนี้ที่แท้จริงเป็นสมบัติที่ยืมโลกมาใช้เพียงชั่วคราว เมื่อถึงเวลาหมดอายุขัยแตกทำลายไป ก็กลายเป็น ดิน น้ำ ลม ไฟ คืนแก่โลกไปตามเดิม เมื่อรู้เห็นความจริงเช่นนี้ การยึดถือในกายเรา กายเขา ก็จะลดน้อยลงไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งในที่สุดก็เบื่อหน่าย คลายกำหนัด ถอนจิตจากการยึดมั่นในร่างกายนี้ ก็สามารถที่จะหลุดพ้นไปสุดพระนิพพานได้ ขอให้ทุกท่านใช้การภาวนาสลับการพิจารณาเช่นนี้เอาไว้บ่อย ๆ จนเคยชิน จะได้มีความก้าวหน้าในการปฏิบัติยิ่ง ๆ ขึ้นไป
ลำดับต่อไปก็ให้ทุกท่านภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันอาทิตย์ที่ ๓ เมษายน ๒๕๕๙
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย รัตนาวุธ)
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-04-2016 เมื่อ 19:45
|