๔๖. หลวงปู่ขนมจีน
วัดท่าซุง จังหวัดอุทัยธานี มีประวัติยาวนานหลายร้อยปี ด้วยสร้างมาตั้งแต่สมัย
พระเจ้าสามพระยา เจ้าอาวาสองค์แรกคือ
หลวงปู่ปาน (ซึ่งชื่อไปซ้ำกับหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค) และมีความรุ่งเรืองเสื่อมโทรมสลับกันไปหลายวาระด้วยกัน... ขณะที่ “หลวงพ่อ” ยังจำพรรษาอยู่ที่
วัดสะพาน จังหวัดชัยนาท คืนหนึ่ง
หลวงปู่ปาน วัดท่าซุง ไปปรากฏองค์และบอกว่า วัดท่าซุงนี้เป็นวัดที่หลวงพ่อเคยบูรณะมาสองครั้งแล้ว ขอให้หลวงพ่อช่วยบูรณะขึ้นมาอีกสักครั้งเถิด...
หลังจากนั้นไม่นาน
พระครูสังฆรักษ์อรุณ อรุโณ เจ้าอาวาสวัดท่าซุงในขณะนั้น ก็พาญาติโยมหลายคันรถไปรับหลวงพ่อ แห่แหนมายังวัดท่าซุง หลวงพ่อท่านก็ทำพิธีบวงสรวงบอกกล่าวเจ้าที่เจ้าทาง และเจ้าอาวาสเก่าทุกองค์ที่มรณภาพไปแล้ว ขอความอนุเคราะห์ให้การบูรณะวัดมีแต่ความสะดวกด้วย....
หลวงพ่อเมตตาเล่าว่า บรรดาเจ้าอาวาสเก่าทั้งหลายมากันหมด ยกเว้นองค์หนึ่งทำลับ ๆ ล่อ ๆ จนต้องเชิญซ้ำจึงยอมเข้ามา องค์นี้ท่านบอกว่าท่านชื่อ
เส็ง เป็นเจ้าอาวาสองค์ที่สองถัดจากหลวงปู่ปานลงมา... ท่านบอกว่าท่านชอบขนมจีนทุกประเภท ถ้าหลวงพ่อจะทำอะไร ให้จัดขนมจีนบูชาท่าน ๑ ที่ ท่านจะสงเคราะห์ให้ และบอกว่าหลวงพ่อจะสร้างโบสถ์เสร็จภายในสามปี ซึ่งต่อมาก็เป็นดังนั้นจริง ๆ ต่อมาไม่ว่าใครเดือดร้อนอะไร ก็ไปบอกกล่าวให้ท่านสงเคราะห์ พอสำเร็จก็แก้บนด้วยขนมจีนกันทุกบ่อย ไป ๆ มา ๆ พวกเราเลยเรียกท่านตามความสะดวกลิ้นว่า
หลวงปู่ขนมจีน ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา...
หลวงปู่ขนมจีนท่านรับผิดชอบด้านความประพฤติ และความเป็นอยู่ของพระและฆราวาสในวัด คอยให้การสงเคราะห์เรื่อยมา จนหลวงพ่อดำริจะสร้างมณฑปถวายท่าน จึงมีบัญชาให้จัดที่บูชาขึ้นมา ๑ ที่ ด้านมุมตะวันตกเฉียงใต้ของโบสถ์ อาตมาช่วย
หลวงพี่วัชรชัย (
พระวัชรชัย อินฺทวํโส) ขัดกระถางธูปเพื่อตั้งไว้บนที่บูชา ขณะขัดไปก็ปากหมาขาดการสำรวม พูดล้อเล่นว่า “
นี่ถ้าขึ้นครบเจ็ดตัวจะทำไงดีล่ะ...?” หลวงพี่ท่านปรามว่า “
ไอ้นี่...ทะลึ่งล่ะ...” ตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา ความรู้สึกประหลาดอย่างหนึ่งก็ก่อหวอดขึ้นภายในอก และค่อย ๆ รุนแรงขึ้นเป็นลำดับ คือมันรู้สึกอยากไปจากวัด... จะไปไหนก็ได้ ขอให้ไปให้ไกล ๆ ไม่กลับมาเลยยิ่งดี สึกหาลาเพศออกไปก็ได้...
ยิ่งนานความรู้สึกยิ่งรุนแรงขึ้นทุกขณะ แม้ว่าจะมืดค่ำแล้วก็ตาม มันกระวนกระวายเหมือนอกจะระเบิด คล้าย ๆ กับเขื่อนที่ทานแรงน้ำจำนวนมหาศาลไม่ไหว จะพังถล่มทลายลงไปไม่วินาทีใดก็วินาทีหนึ่ง..... เดินจงกรมจนสี่ทุ่มก็ไม่หาย อกจะแตกตายให้ได้ ไม่อยากอยู่วัดนี้แล้ว....! จนหมดหนทางจริง ๆ อาตมาก็เข้ากุฏิ ปิดประตูหน้าต่างมิดชิด แล้วก็วิ่ง..วิ่ง .. วิ่ง..วนเวียนอยุ่ในกุฏิแคบ ๆ ขนาด ๖ x ๙ ฟุต วิ่งให้มันหายบ้าให้ได้....!
หมดแรงพับไปตอนไหนไม่รู้ ตื่นขึ้นมา โอ้โฮ้....ฤทธิ์บ้าของเราหรือนี่...? ข้าวของกระจุยกระจายอย่างกับโดนพายุสลาตัน สรงน้ำแล้วไปทำวัตรเช้า ความรู้สึกคุกรุ่นเหมือนภูเขาไฟจะระเบิด ทำวัตรก็คิดไป เดี๋ยวจะไปอาละวาดที่ไหนดี...? ทำวัตรเสร็จก็เล่าอาการให้หลวงพี่วัชรชัยฟัง ท่านถามว่า “
คิดดูซิ...เป็นตั้งแต่ตอนขัดกระถางธูปใช่มั้ย...?” ตอบท่านว่าใช่ ท่านบอกว่า “
ถูกหลวงปู่เล่นงานเข้าแล้ว รีบเอาดอกไม้ ธูป เทียนแพ ไปกราบขอขมาท่านโดยเร็ว...”
อาตมาขอให้โยมศุ (
คุณศุภาพร ปุษยนาวิน) จัดทำพานดอกไม้ ธูป เทียนแพให้ ทันทีที่กราบขอขมาเสร็จ ความรู้สึกประหลาดนั่นก็หายไปเฉย ๆ หายไปทันทีเหมือนโยนของหนัก ๆ ทิ้งก็ไม่ปาน อะไรจะขนาดนั้น...? เมื่อเจอเจ๋ง ๆ เข้าแบบนี้ อาตมาก็หน้าด้านพอ กราบอธิษฐานกับหลวงปู่ว่า “
หลวงปู่เล่นงานผมคนแรก ผมถือว่าผมเป็นลูกคนโต หลวงปู่ครับ...ลูกกราบอาราธนาหลวงปู่ โปรดเมตตาควบคุมความประพฤติของลูกด้วย สิ่งใดที่ถูกต้องตรงตามพระวินัย ขอหลวงปู่ดลใจให้ทำสิ่งนั้น สิ่งใดไม่ถูกไม่ต้องแล้วไซร้ หลวงปู่โปรดเมตตาดลจิตดลใจ อย่าให้ลูกทำความผิดนั้น ๆ เลยครับ ลูกกราบขอความเมตตา...”
สบายเลยคราวนี้ มีอะไรบอกหลวงปู่ลูกเดียว ไปกรุงเทพฯ ไม่ทันก็บอกหลวงปู่ อาหารไม่พอฉันก็บอกหลวงปู่ อยากได้เงินใช้ก็บอกหลวงปู่ อยากทราบว่าอารมณ์เข้าถึงธรรมเป็นอย่างไร ก็บอกหลวงปู่ ท่านช่วยได้ไปซะทุกเรื่องเลย... ไปฉันเพลบ้าน
คุณวิไลวรรณ ภูมิธเนศ เห็นมีขนมจีนก็นึกถึงหลวงปู่
คุณอารี จงพิสุทธิโศภณ บอกว่า “
เห็นหลวงปู่ขนมจีนมาแน่ะ...” ตาดีเสียด้วย เราไม่ได้บอกเขาซะหน่อย ว่าเวลาไปไหนขอท่านตามไปคุมประพฤติด้วย... ทุกวันอาตมาต้องไปกราบท่านที่มณฑปเสมอ จะไปไหนก็กราบลา กลับมาก็ไหว้ เรื่องไม่ดีหลาย ๆ อย่างที่เกิดขึ้น อาตมาแคล้วคลาดไปทุกที ล่าสุดมีการจับสลากตั้งพระครูฐานานุกรมของ “หลวงพ่อ” ๔ องค์ หลวงปู่ท่านเป็นผู้จับมือพระหยิบสลากขึ้นมา ตำแหน่งเหมาะสมกับหน้าที่ทั้ง ๔ องค์เลย...!
“
อย่าอวดดีกับผี อย่าลองดีกับพระ” เพราะของจริงเขามีอยู่ “หลวงพ่อ” ท่านพร่ำสอนมาอย่างนี้ แต่อาตมาไปนอกครูเอง โดนอัดพอท้วม ๆ นับว่าท่านยังปรานี แต่นิสัยเสียเฉพาะตัวก็ดันเป็นซะแบบนี้ คือ ถ้าไม่แน่จริงก็ไม่เชื่อซะด้วยซิ....!
๕ เมษายน ๒๕๓๓
พระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ