ดูแบบคำตอบเดียว
  #1  
เก่า 08-08-2010, 19:01
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,610
ได้ให้อนุโมทนา: 151,798
ได้รับอนุโมทนา 4,412,913 ครั้ง ใน 34,200 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐานวันเสาร์ที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๓

วันนี้คนแน่นมากไปหน่อย ทุกคนพยายามนั่งในท่าที่สบายเท่าที่ทำได้ก็แล้วกัน โดยเฉพาะตั้งตัวให้ตรงไว้ เพื่อให้ลมหายใจเดินได้สะดวก กำหนดสติความรู้สึกอยู่เฉพาะหน้าของเรา คือ อยู่กับลมหายใจเข้า ลมหายใจออก

หายใจเข้าพร้อมกับคำภาวนาที่เราถนัด กำหนดความรู้สึกไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออกพร้อมกับคำภาวนาที่เราถนัด กำหนดความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจของเราออกมา

วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ ๓๑ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๕๓ ตรงกับวันแรม ๕ ค่ำ เดือน ๘ หลัง จะว่าไปวันนี้ก็เป็นวันเสาร์ห้าเหมือนกัน แต่เป็นเสาร์ห้าข้างแรม ถือเป็นฤกษ์อมฤตโชค สำหรับคนเกิดปีจอ เป็นวันลาภของคนเกิดปีจอด้วยและตรงกับวันอมฤตโชคด้วย เด็ก ๆ สมัยนี้ไม่ค่อยจะจำขึ้นจำแรมกันแล้ว แม้กระทั่งพระเณรก็ไม่ค่อยจะจดจำกัน น้อยคนนักที่เราถามแล้วจะบอกได้ว่า วันนี้ขึ้นแรมเท่าไร

สำหรับวันนี้ก็เป็นวันปฏิบัติกรรมฐานวันที่สองของเดือนสิงหาคม แต่เนื่องจากมาปลายเดือนกรกฎาคม จึงเป็นการปฏิบัติที่คาบเกี่ยวเนื่องกันกับเดือนสิงหาคม

เมื่อวานที่ผ่านมาได้กล่าวถึงสังโยชน์ เครื่องร้อยรัดเราให้ติดอยู่ในวัฏสงสาร ได้ว่าไปถึงสังโยชน์เบื้องต้นสามข้อ แต่ถ้าหากแบ่งตามโบราณาจารย์ท่าน บางทีท่านแบ่งว่าสังโยชน์เบื้องต้นเป็น ๕ ข้อด้วยกัน เรียกว่า โอรัมภาคิยสังโยชน์ ก็คือสังโยชน์เบื้องต่ำ ส่วนข้อที่ ๖-๑๐ ท่านเรียกว่า อุทธัมภาคิยสังโยชน์ ก็คือ สังโยชน์เบื้องสูงนั่นเอง

เมื่อวานได้กล่าวแล้วว่า การจะเป็นพระโสดาบันนั้น สังโยชน์เบื้องต่ำสามข้อเราต้องละวางให้ได้ แม้ว่าจะไม่เด็ดขาดหมดสิ้นไปเสียทีเดียว แต่ก็ต้องละวางให้ได้ในระดับที่ว่า เราต้องมีความเคารพในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างจริงจัง ไม่ล่วงเกินด้วยกาย ด้วยวาจา และด้วยใจ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง

เราต้องเป็นบุคคลที่มีศีลบริสุทธิ์ ไม่ละเมิดศีลด้วยตนเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นละเมิดศีล และไม่ยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นละเมิดศีล และท้ายสุดต้องมีปัญญารู้ว่า เราจะต้องตายอย่างแน่นอน ถ้าหากตายแล้วกำลังใจเรามุ่งตรงที่เดียวคือพระนิพพาน

โดยกำลังสมาธิที่จะหนุนเสริมความเป็นพระโสดาบันนั้น ต่ำสุดต้องได้ระดับปฐมฌานขึ้นไป ยิ่งเป็นปฐมฌานละเอียดยิ่งดี ในส่วนของพระสกทาคามีนั้น ท่านละสังโยชน์เบื้องต่ำได้สามข้อ และทำให้ราคะ โทสะเบาบางลงได้

การที่จะทำราคะ โทสะให้เบาบางลงได้ ก็แปลว่าสติ สมาธิ และปัญญา จะต้องเข้มข้นกว่าพระโสดาบันมาก โดยเฉพาะกำลังที่จะกดราคะและโทสะลงได้นั้น จะต้องเป็นกำลังของฌานสี่เท่านั้น ฌานอื่นต่ำกว่านั้นจะเอาไม่อยู่

เมื่อเป็นดังนั้นก็แสดงว่า บุคคลที่เป็นพระโสดาบันแล้ว ถ้าจะพัฒนาขึ้นมาเป็นพระสกทาคามี สมาธิจะต้องทรงตัวมากขึ้น จากปฐมฌานจะต้องเป็นฌานสอง ฌานสาม จนเข้าถึงฌานสี่ โอกาสที่จะเข้าถึงความเป็นพระสกทาคามีจึงจะมีได้ แม้กติกาในการปฏิบัติจะมีเท่ากับพระโสดาบัน แต่ว่า ราคะ โทสะ ลดลงไปได้มาก ถ้าหากว่าเป็นพระสกิทาคามีจริง ๆ ก็แทบจะไม่มีราคะและโทสะเหลืออยู่แล้ว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-08-2010 เมื่อ 03:51
สมาชิก 65 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา