พระอาจารย์กล่าวว่า "ครั้นจะขอร้องญาติโยมว่าอย่าเอาอาหารรสหวานมาถวายอาตมา ก็ขอไม่ได้ เพราะว่าคนกินหวานไม่รู้สึกว่าหวาน บางทีถึงเวลาเจอน้ำพริกกะปิ แหม...ของโปรด ที่ไหนได้ พอแตะเข้าไปไม่ใช่น้ำพริกกะปิธรรมดา แต่เป็นขนม หวานมาแต่ไกลเชียว น้ำพริกต้องเผ็ด เค็ม เปรี้ยว เผ็ดต้องนำ คราวนี้ของเราเล่นไปหวานนำ..เสียหมดเลย
โดยเฉพาะแกงส้ม คำว่า ส้ม ภาษาเก่าแปลว่า เปรี้ยว กลายเป็นแกงหวานแล้วจะส้มได้อย่างไร ? บ้านเราปัจจุบันนี้เป็นโรคอ้วนเกิน ๓๐% แล้ว แล้วก็เบาหวานอีก กลายเป็นโรคฮิตอันดับหนึ่ง ถ้าไม่อยากเป็นโรคนี้โปรดเอากระปุกน้ำตาลออกจากครัวไปเลย ไม่กินน้ำตาลเราไม่ตายหรอก แต่ถ้ากินเมื่อไรโรคภัยไข้เจ็บสารพัดจะถามหา
น้ำตาลที่กินได้คือน้ำตาลจากธรรมชาติ ถ้าหากว่าผ่านการสกัดแล้วก็อย่าให้ฟอกขาว อย่างเช่นน้ำตาลทรายแดง เป็นต้น แต่ก็ไม่ใช่กินแบบไม่บันยะบันยัง พระพุทธเจ้าท่านสอนให้มีโภชเนมัตตัญญุตา รู้ประมาณในการกินอย่างหนึ่ง สอนให้มีมัชฌิมาปฏิปทา รู้ความพอเหมาะพอควรพอดีอย่างหนึ่ง อะไรที่เกินพอดีต่อให้ดีแค่ไหนก็เป็นโทษทั้งนั้น เพราะฉะนั้น...กลับบ้านไปทุบกระปุกน้ำตาลทิ้งได้แล้ว ถ้าคุณสามีหรือคุณภรรยาโวยวายหา ก็บอกว่าไปหากินข้างนอกบ้านโน่น"
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-08-2018 เมื่อ 15:35
|