โดยเฉพาะตัวอุทธัจจกุกกุจจนิวรณ์ คือความฟุ้งซ่าน หงุดหงิดและรำคาญใจนั้น ตัวฟุ้งซ่านสามารถนำให้เกิดทั้งราคะ โลภะ โทสะ และโมหะ เมื่อเป็นดังนั้น การฟุ้งของเราต่อให้เป็นการฟุ้งในเรื่องจะกระทำความดี ก็ยังเป็นการฟุ้งซ่านของใจอยู่ คุณภาพของใจเรายังไม่ดีพอ ถ้าท่านที่ได้ทิพจักขุญาณ สามารถดูสีใจของตนเองได้ว่า ตอนนี้มีความขุ่นมัวอย่างไร ใจของเราผ่องใสหรือขุ่นมัว หรือเคลือบไปด้วยสีสันอื่น ๆ ที่ระบุเอาไว้ว่ากำลังใจของเราไม่ได้มุ่งตรงอยู่กับการภาวนา
เมื่อวัดด้วยนิวรณ์ ๕ แล้ว ในส่วนต่อไปที่เป็นเครื่องวัดก็คือศีล ไม่ว่าจะเป็นศีล ๕ ก็ดี ศีล ๘ ก็ดี หรือถ้าเป็นสามเณรก็ศีล ๑๐ พระภิกษุสงฆ์ก็ศีล ๒๒๗ เรารักษาศีลทุกสิกขาบทครบถ้วนสมบูรณ์บริบูรณ์หรือไม่ ? เมื่อเรารักษาศีลทุกสิกขาบทได้ครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว เรายุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นละเมิดหรือไม่ ? เมื่อรักษาด้วยตนเองได้ ไม่ยุยงให้ผู้อื่นทำ เวลาเห็นผู้อื่นละเมิดศีลเรายังมีความยินดีหรือไม่ ? นี่เป็นเครื่องวัดกำลังใจของเราที่เห็นได้ชัดเจนอีกประการหนึ่ง
ถ้าหากว่าไปที่ประการใหญ่สุดเลยก็คือดูจากสังโยชน์ทั้ง ๑๐ ข้อ ก็คือ เรายังเห็นว่าร่างกายนี้เป็นเราเป็นของเราหรือไม่ ? แต่ว่าการจะเห็นร่างกายนี้เป็นเราเป็นของเรานั้น จะว่าไปแล้วเป็นกำลังใจระดับสูงจนเกินไปสำหรับการปฏิบัติในเบื้องต้นอย่างพวกเรา เราก็มาดูว่าเราหลงลืมความตายหรือไม่ ? คือต้องมีสติระลึกรู้อยู่ว่าร่างกายนี้จะต้องตายอยู่ตลอดเวลา หายใจเข้าไม่หายใจออกก็ตาย หายใจออกไม่หายใจเข้าก็ตาย
หรือถ้ากำลังใจสูงไปกว่านั้น ระลึกรู้อยู่เสมอว่าร่างกายต้องตายยังไม่พอ ยังเห็นในความสกปรกโสโครก เป็นรังของโรค มีความรังเกียจในร่างกายนี้ ไม่ปรารถนาอีก ถ้าหากว่ากำลังใจก้าวสูงไปกว่านั้นได้ ก็จะเห็นชัดเจนว่าร่างกายนี้ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-04-2012 เมื่อ 15:46
|