พระอาจารย์เล่าว่า "อาตมาเคยซื่อแบบโยมมาก่อน ตอนฝึกมโนมยิทธิครั้งแรกปี ๒๕๒๑ ไม่รู้ว่าต้องมีเครื่องบูชาครู พอไปถึงบ้านสายลมบรรดาป้า ๆ ท่านบอกว่า เอาอย่างนี้แล้วกัน เดี๋ยวป้าจัดให้ มีดอกไม้ ๓ สี เทียน ๑ ธูป ๓ แต่เงินบูชาครูสลึงหนึ่งต้องออกเองนะลูก เพราะเป็นทานบารมีของเรา ด้วยความพาซื่ออาตมาวิ่งไปจนถึงปากซอยกว่าจะแลกเหรียญสลึงได้ เขาไม่บอกว่าใส่เกินสลึงก็ได้ อาตมายังโง่มาแล้วเลย คนอื่นไม่แปลกหรอกที่จะโดนบ้าง
ด้วยความเป็นคนที่ค่อนข้างจะขี้สงสัย ตอนฝึกมโนมยิทธิก็เห็นชัดนั่นแหละ แต่ตอนเลิกอยากเห็นกลับไม่เห็น เพราะความโง่ของตัวเอง ไม่รู้ว่าต้องตั้งอารมณ์ให้เท่าตอนนั้น สงสัยว่าทำไมเมื่อครู่เห็น ตอนนี้กลับไม่เห็น ก็ไปฝึกอยู่นั่นแหละ ฝึกจนกระทั่งท้ายสุดครูฝึกเขาไล่ออกจากวงมา เพราะว่าไปทำให้เขาเสียหมด แค่ครูฝึกเขาเอ่ยปากคำแรก อาตมาก็รู้แล้วว่าทั้งประโยคท่านจะถามอะไรก็ชิงตอบก่อน คนอื่นเขาก็เลยใบ้รับประทานกันหมด
เป็นอย่างนั้นอยู่เป็นปี ๆ ซ้อมอยู่อย่างนั้น วันนั้นเดินหน้าเหี่ยวออกมาข้างนอก หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเห็น ท่านก็หัวเราะ ไอ้หนู คล่องตัวขนาดนั้นไปสอนเขาได้แล้วลูก อาตมาไม่รู้จริง ๆ ขนาดท่านยืนยันว่าคล่องตัวขนาดนั้นแล้ว ก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมบางเวลาถึงเห็นไม่ได้ ตอนช่วงนั้นความเข้าใจเกี่ยวกับการวางอารมณ์ยังไม่เข้าใจจริง ๆ ไม่รู้ว่าต้องทรงอารมณ์ระดับไหนถึงจะเห็น คิดว่าในเมื่อฝึกได้แล้วก็ต้องเห็นตลอดไป ส่วนตอนนี้รำคาญมากเลย เพราะมาให้รู้ไปทุกเรื่อง รู้อย่างนี้ไม่เห็นดีกว่า
เพราะฉะนั้น..ไม่มีใครเก่งมาแต่ท้องพ่อท้องแม่หรอก อยู่ที่การฝึกทั้งนั้น ตอนนั้นอาตมาวิ่งหาครูฝึกตลอด ซ้อมแล้วซ้อมอีก กลับไปก็ไปซ้อมที่บ้าน ซ้อมที่บ้านเสร็จก็มาซ้อมกับครูอีก เพราะเป็นคนเอาจริงเอาจัง ทำแบบหัวไม่วางหางไม่เว้นก็ก้าวหน้าเร็ว เพราะไปสงสัยว่าจะใช่หรือ ทำไมไม่เห็นตลอดเวลา ? แสดงว่ายังไม่ดี ก็พยายามจะเอาให้ได้ มาตอนนี้รู้แล้วว่าไม่ใช่
ถ้าอยากเห็นตลอดเวลาเราต้องรักษาอารมณ์นั้นให้อยู่กับเราตลอดเวลา ตราบใดที่อารมณ์นั้นทรงตัวอยู่ ตราบนั้นเราจะเห็น ถ้าอารมณ์จิตคลายลงมาต่ำกว่า หรือขึ้นสูงเกินไปก็จะไม่เห็น"
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-03-2012 เมื่อ 02:59
|