ดูแบบคำตอบเดียว
  #40  
เก่า 16-05-2012, 21:41
สายท่าขนุน สายท่าขนุน is offline
สมาชิก VIP - ผู้ได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษ
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 759
ได้ให้อนุโมทนา: 160,001
ได้รับอนุโมทนา 133,088 ครั้ง ใน 5,305 โพสต์
สายท่าขนุน is on a distinguished road
Wink

บวชเนกขัมมะครั้งที่ ๕/๒๕๕๕ เป็นอีกครั้งที่ควรมาเล่าสู่กันฟัง

เริ่มจากกำหนดการ "จัดเต็ม" ๕ วันเช้า-บ่าย รวม ๙ รอบ พระอาจารย์ก็เมตตา "คุมเข้ม" เกือบทุกช่วงกรรมฐาน
พร้อมด้วยเปลี่ยนอาวุธเป็นกล้องถ่ายรูป ไว้คอยดันใครที่หลับสัปหงก ที่ครั้งนี้มีหลายคนอยู่
จำนวนคนกลับมากกว่าครั้งที่ ๔ อากาศเย็นสบายขึ้น แม้มีฝนบ้าง แต่ระบบน้ำอาบน้ำใช้ก็ซ่อมทำแล้วเรียบร้อย
แม่ชีทุกท่านยังคงทำงานหนักเพื่อให้ผู้บวชอยู่สบายเช่นเคย งานครัวกระชับขึ้นโดยทำอาหารง่าย ๆ ไม่มากอย่าง
และพระอาจารย์ประกาศให้โยมที่มีฝีมือทำอาหารไปช่วยงานครัวอีกด้วย
แต่แม่ชีทุกท่านก็ต้องขึ้นบนศาลาเพื่อขานชื่อ (ชื่อแรก ๆ ด้วย) ก่อนเวลาให้ทัน เช่นเดียวกับท่านอื่น ๆ

...ยายก็เพิ่งทราบตัวอย่างหนึ่งหลังจากกลับมาแล้ว ที่ยืนยันว่า ทุกท่านที่ได้ไปบวชมีบุญหนุนส่งระดับหนึ่งแน่นอน
คือ น้องที่ทำงานที่ยายชวนให้ไปบวชไว้ ซึ่งเขาจัดเวลายากมาก เพราะมีกิจกรรมครอบครัวและงานบุญประจำทุกวันหยุด
เขาเล่าว่า ลางานไว้แล้ว ๒ วัน จัดกระเป๋าแล้ว แต่ลาฟรี ไม่ได้ไปเพราะรถที่จะไปเต็มทั้งหมด
ยายก็ถามว่าทำไมไม่โทร. หา เพราะวันเดินทาง ยายกลับจากวัดเขาวงมารับป้ายิ้มที่กรุงเทพฯ และยังพอมีที่
เขาบอกว่า มือถือเขาเพิ่งเปลี่ยนที่หาย ไม่มีเบอร์โทร. ที่เก็บไว้ และไม่ได้อยู่ในจังหวะที่จะตรวจสอบถามหาได้สะดวก

ตอนไปถึงวัดมืดแล้ว ยายก็กราบพระ พรหม เทวดา หลวงปู่... พอถึงตรงศาลาแม่พระธรณี อ้าวท่านแม่หายไปไหน
ยายก็จอดรถ ลดระดับกระจกออกดู จึงเห็นว่าพระแกะสลักจากหินเขียวแม่น้ำโขงประดิษฐานอยู่ตรงนั้น
(ยายเคยจำเอาไว้ว่า พระอาจารย์เคยเล่าถึงว่าเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์ใด
แต่ก็มีคนฟังมาแตกต่างกันออกไปอีกถึง ๒ คน... ยายก็เลยไม่แน่ใจ)
ยิ่งดีใจมากขึ้น เมื่อเห็นว่าแม่ชีใหญ่กำลังจัดเตรียมบายศรีเพื่อบวงสรวงและดอกไม้บูชาพระ และยายได้รับคำชวนให้ช่วย
จึงรีบไปดูที่นอนให้เรียบร้อยก่อน เพราะดึกแล้ว... อาบน้ำเสร็จก็ทันได้ช่วยบูชาครูทำดอกไม้บ้างด้วยความชื่นใจ
เสร็จแล้วก็เดินไปวางพานดอกไม้ถวายที่กุฏิหลวงปู่พุก แล้วไปกราบที่องค์พระหินเขียว...
ช่วงเช้าวันรุ่งขึ้น จะได้บวงสรวงรับพระองค์ท่าน เป็นฤกษ์โสฬสวันเสาร์อีกด้วย
มีคนเตรียมไปหาน้ำมันเลียงผามาเข้าพิธี ยายก็ฝากซื้อขวดเล็ก เพื่อไม่ให้หนัก และจะนำถวายพระอาจารย์
ช่วงเช้าตรู่ เขาไปหาซื้อที่ร้านประจำ ร้านยังไม่เปิด เขาก็ถึงกับเคาะเรียกได้มา

ร่ายยาวมานี่ ก็เพื่อชะลอที่จะเล่าถึงส่วนการปฏิบัติ เพราะส่วนนี้ยายได้รับคำสั่งสอน ระดับ “เจ็บเลือดซิบ” ทีเดียว
ยายไม่ได้ไปบวชทุกครั้ง จึงเพิ่งมีโอกาสได้ฝึกกราบช้า ๆ กับเคลื่อนมือแทนการเดินจงกรม
ยายชอบกราบแบบนี้มาก แม้ว่ามักทำผิดท่าตอนที่กราบครบแล้วจะกลับมาท่าทางเดิม… เพราะทำให้รู้สึก “ตั้งใจ” กราบมาก ๆ
การเคลื่อนมือแบบหลวงพ่อเทียนนี้… เด็ก ๒ พี่น้องที่เมื่อง่วงแล้วรู้จักแก้ปัญหาโดยหันมาทำอิริยาบถนี้แทน
ครั้งนี้ ไม่มีเด็กกวนผู้ใหญ่เลย มีแต่ที่จะให้ผู้ใหญ่ได้อาย… พวกเราได้กราบฟังว่า แฝดสามตัวน้อย
ตอนที่เด็ก ๆ ที่แยกกันนั่งนี้ เขาเบื่อแล้วมองนั่นนี่ไปบ้าง ก็ไม่ขยับออกนอกวงส่วนตัวรบกวนใครกันเลย
คนพี่เด็กหญิงอีกคน ที่ล้มตัวลงนอนฟุบไปนั้น พระอาจารย์ท่านก็ไม่ให้ไปปลุกหรือจับ
เพราะเราจะดูไม่ออกว่าเขาหลับหรือเป็นมโนฯ เต็มกำลังกันแน่… ไปจับรบกวนเข้าก็อาจจะเกิดโทษได้

ได้มีโอกาสเดินจงกรมรอบวัด ๑ รอบ… เป็นรอบที่พระอาจารย์บอกว่า
ไม่มีสักคนเดียวที่รักษากำลังใจได้ตลอดทาง หลุด ๑๐๐% เต็ม !!! และคนที่รู้ตัวมีไม่ถึงจำนวนนิ้วมือข้างหนึ่ง
เมื่อท่านเทศน์ ระหว่างปฏิบัตินั้น … ท่านย้ำอีกครั้งว่าข้อเสียของการปฏิบัติของพวกเราก็คือทำแล้วทิ้ง
ไม่พยายามรักษาอารมณ์ใจไว้ให้ได้ ข้อเสียนี้มีผลร้ายแรงถึงไปพระนิพพานไม่ได้
ยายฟังแล้วก็สยองขวัญ แต่ “เรื่อง” ที่เกิดขึ้น ก็ยิ่งย้ำให้ยาย “สยอง” ต่อมากระทั่งทุกวันนี้…
ที่ยายก็ยังหัด “รักษากำลังใจ” ได้ไม่ดีขึ้นนัก

เอาตรงเรื่องเดินรอบวัดนี้ก็ “เจ็บ” มากแล้ว…
พวกเราตัดสินใจออกเสียงกันว่าจะไปเดิน ตอนที่แดดแรงมาก แต่พอเริ่มออกเดินแดดก็ร่ม
…วุ่นวายจัดแถว พอเริ่มออกเดิน ก็ไม่สมานสามัคคีเท่าไรนัก และเดินค่อนข้างเร็ว
ตรงยายก็ใช้วิธีสังเกตฝีเท้าแถวพระที่นำหน้า แล้วว่าคำเดินจงกรมตาม
มีหยุดจัดขบวนใหม่ ๒-๓ ครั้ง ในที่สุด พระอาจารย์บอกให้ต่างคนต่างกำหนดในใจกันเอง
เพราะแถวข้างหลังบีบคั้นให้แถวนำหน้าต้องเร่งฝีเท้าแทบหายใจไม่ทันกันทีเดียว

เดินกันมาสักพักก็พบต้นไม้ใหญ่ที่ล้มขวางทางอยู่ ก็ค่อย ๆ เดินออกข้างกันไป… ช่วยเหลือกันไปตามสภาพ
ข้างที่ยายผ่านมีรังมดแดงตัวโตแตกรังมาพอให้ได้ปัดออกจากหัวหู
แถวเดินผ่านจุดต่าง ๆ ไป… ตอนนี้เสียง ซ้ายย่างหนอ ขวาย่างหนอ เงียบลงแล้ว
ยายก็เพลินดูสองข้างทาง ไม่ถึงกับสอดส่าย แต่ก็มี "เผลอ" ไปบ้าง...
นี่ยายภาวนาพร้อมกับทำอย่างอื่นอีกแล้ว
โดยเฉพาะที่มะดำเทินขวดน้ำไว้บนหัวระหว่างเดิน เป็นเหตุให้เป็นจุดสนใจ…
ยายเห็นมะตอนที่พระอาจารย์ท่านขึ้นเนินปูนไปถ่ายรูปเอาไว้...
ก็หันไปมองพระอาจารย์ก่อนนั่นแหละ แล้วจึงมองตามทิศทางที่ท่านมองต่อ
ท่านว่ามะสมาธิดีที่สุด เผ่าพันธุ์นี้เป็นเองโดยกำเนิด
มีคนพูดว่าเหมือนพวกนางแบบ ท่านก็ว่า เขาเกิดมาเป็นนางแบบกันได้ทุกคน
ผ่านหน้าจุดก่อสร้างฐานสมเด็จองค์ปฐมด้านหน้าวัด ยายก็ยกมือขึ้นไหว้

พอเดินเลี้ยวกลับเข้ามาทางหน้าวัด ผ่านปากทางขึ้นพระเจดีย์
พระอาจารย์ท่านก็เล่าถึงศาลาตรงนั้นที่เคยเป็นทรงไทย แล้วต่อมาก็สร้างเป็นทรงสเปน
ซึ่งภายหลังสภาพทรุดโทรมเกินกว่าจะบูรณะ จึงกลับมาเป็นทรงไทยใหม่
ถึงยายจะเคยฟังเรื่องนี้แล้ว… แต่ความที่ยายฟังไม่ค่อยได้ยิน จึงเงี่ยหูตั้งใจฟังท่านเล่า
เห็นท่านเดินถือโทรโข่งพูดหันไปทางด้านหน้า และท่านเดินอยู่ด้านข้างบริเวณค่อนไปทางหัวแถว
ยายก็นึกว่า ทำไมท่านจึงไม่หันโทรโข่งมาทางด้านหลัง คนในแถวจะได้ยินชัดขึ้น…
ทำไมหนอ” ท่านไม่ลืมแน่นอน ท่านต้องมีเหตุผลสิ
ทันทีที่นึกออก !!! ยายก็กลับมาที่ฝีเท้าแล้วนึกว่า “ซ้ายย่างหนอ ขวาย่างหนอ” ทันที
แต่ตอนนั้นเราก็ใกล้ถึงศาลาแล้ว

ยาวจัง ขออภัย… ยายขออนุญาตเอาเรื่อง “น่าละอาย” (และน่าสยองขวัญขึ้นอีก) ของยาย มาเล่าต่ออีกนะ
__________________
การรักษากำลังใจสำคัญที่สุด...ได้ดีอย่าฟู แล้วขณะเดียวกันว่า ถ้าได้ร้ายก็อย่าฟุบ ให้เห็นว่ามันเป็นปกติของมัน เรื่องของมัน
ถ้ามันดีมาพออาศัยได้ก็ดีกับมันไป ถ้าหากว่ามันไม่ดีมา เราอยู่กับมันก็ให้รู้อยู่มีสติอยู่ ถึงเวลาก็ต่างคนต่างไปอยู่แล้ว...
กำลังใจของเราพลาดแม้แค่วินาทีเดียวนี่ อาจจะหมายถึงแพ้ทั้งกระดาน

อะไรมันก็ไม่เจ็บปวดเท่ากับต้องเกิดใหม่ มันเป็นทุกข์ เป็นโทษสุด ๆ จริง ๆ
กระโถนข้างธรรมาสน์ ฉบับที่ ๕๑

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สายท่าขนุน : 17-05-2012 เมื่อ 10:36
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 53 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สายท่าขนุน ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา