ดูแบบคำตอบเดียว
  #6  
เก่า 03-06-2012, 06:46
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,488
ได้ให้อนุโมทนา: 151,147
ได้รับอนุโมทนา 4,405,293 ครั้ง ใน 34,077 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ดังนั้น..ขึ้นชื่อว่าการจะให้ไฟโทสะชักนำเราไปสู่อบายภูมิ ขอจงอย่าได้มีเลย ถ้าหากสิ่งใดไม่พอหู ไม่พอตา ไม่พอใจ ใช้ปัญญาคิดแยกแยะแล้ว ยังไม่สามารถที่จะต่อสู้กับไฟโทสะนี้ได้ ก็ให้ใช้ตัวอุเบกขาพรหมวิหาร ก็คือ ช่างเขาเถอะ ถ้าหากว่าสามารถช่างได้มาก ก็จะเป็นการช่างเขาเถอะ แต่ถ้าหากช่างได้น้อยก็รุนแรงขึ้นมานิดหนึ่งก็คือ ช่างหัวมัน แต่ถ้าช่างได้น้อยกว่านั้นก็อาจจะมีการรุนแรงขึ้นมาอีกก็คือ ช่างโคตรพ่อโคตรแม่มัน แต่ว่าเราช่างให้ได้ก็แล้วกัน ไม่ว่าจะอยู่ระดับไหนก็ตาม

ถ้าเราสามารถที่จะระงับยับยั้งด้วยเมตตาพรหมวิหาร ด้วยกรุณาพรหมวิหาร ด้วยอุเบกขาพรหมวิหารนี้ได้ ก็ขึ้นชื่อว่าไฟโทสะนั้น มีกำลังที่จะทำอันตรายเราได้น้อยลง และท้ายที่สุด เมื่อกำลังใจเคยชินกับการระงับดับไฟโทสะอยู่บ่อย ๆ เชื้อเพลิงที่จะให้เผาผลาญมีน้อย เพราะว่าเราปิดหูปิดตาเสียแล้ว สิ่งที่ตาเห็นก็สักแต่ว่าเห็น สิ่งที่หูได้ยินก็สักแต่ว่าได้ยิน สิ่งที่จมูกได้กลิ่นสักแต่ว่าได้กลิ่น สิ่งที่ลิ้นได้รสสักแต่ว่าได้รส สิ่งที่กายสัมผัสสักแต่ว่ากายสัมผัส หยุดการครุ่นคิดในใจลงได้ แล้วโทสะจะเกิดขึ้นมาได้จากไหน ? ถ้าหากว่าเราทำขึ้นมาได้ถึงระดับนี้แล้ว ก็แสดงว่าเราดับไฟโทสะได้อีกหนึ่งกอง ความร้อนที่จะเผาเราให้เดือดร้อนวุ่นวาย ก็ลดลงไปอีกส่วนหนึ่ง

ก็เหลือแต่ไฟโมหะคือความหลง หลงคิดว่าตัวเรายังแข็งแรงอยู่ หลงคิดว่ารูปร่างนี้ยังสวยงามอยู่ หลงคิดว่ารูปร่างคนอื่นยังสวยงามเป็นที่ต้องการของเราอยู่ หลงคิดว่าโลกนี้ดี เราต้องการจะเกิดมาอีก สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าเราใช้ปัญญาพิจารณาดูก็จะเห็นว่า ร่างกายของเราก็ดี ร่างกายของคนอื่นก็ดี เกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงแปรปรวนไปในท่ามกลาง และสลายตัวไปในที่สุด

เราก้าวเข้าไปหาความเสื่อมอยู่ตลอดเวลา เราก้าวไปหาความแก่และความตายอยู่ตลอดเวลา หากว่าเราไม่เร่งสร้างสมบุญกุศลในศีล สมาธิ และปัญญา ถ้าเราหลุดพ้นไม่ได้ เราก็ต้องเกิดมาในโลกที่เต็มไปด้วยความทุกข์ยากเร่าร้อนนี้อีก เราก็ต้องมาระแวงว่าเมื่อไรแผ่นดินจะไหว ? เมื่อไรเขื่อนจะแตก ? ไปเที่ยวสงกรานต์จะโดนรถชนหรือไม่ ? อยู่กับความอกสั่นขวัญแขวนอย่างนี้ชาติแล้วชาติเล่า ไม่ใช่เรื่องดีอย่างแน่นอน องค์สมเด็จพระชินวรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงประทานวิธีในการดับไฟโมหะตัวนี้ว่า จำเป็นต้องใช้ปัญญาในการพิจารณา
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-06-2012 เมื่อ 07:48
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 50 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา