ถาม : ตอนที่เราตกอยู่ในอารมณ์นิ่ง ๆ ที่ท่านบอกว่าเป็นอุเบกขา จะเกิดเป็นพัก ๆ เราจะรู้สึกนิ่ง ๆ เหมือนกับเราโผล่มาจากพลาสติกอะไรสักอย่างที่กดเราอยู่ พอเราโผล่มา จะรู้สึกว่าไม่เอาแล้ว ความรู้สึกว่า โลกนี้เราไม่เอาอะไรสักอย่าง นั่นคือปัญญาหรือคะ ?
ตอบ : เป็นปัญญาที่เกิดจากสมาธิของเรา ที่นิ่งอยู่ในระยะเวลาที่ยาวนานพอ ความสะอาดของจิตจะมี พอคลายจากสมาธินั้น ปัญญาจึงเกิด เห็นชัดว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ไม่เหมาะกับเราแล้ว เราไม่ได้มีความปรารถนา ไม่ได้มีความต้องการอีกแล้ว
อย่าลืมว่าศีลทำให้เกิดสมาธิ สมาธิทำให้เกิดปัญญา ปัญญาจะไปคุมศีลกับสมาธิอีกทีหนึ่ง คราวนี้เราอยู่ในลักษณะนิ่งก็คือ เป็นอุเบกขาในฌาน ในเมื่อเราทรงสมาธิในระดับที่ยาวนานพอ กิเลสถูกกดนิ่งไประยะหนึ่ง ความสะอาดของจิตก็มี พอเราโผล่ขึ้นมาจากสมาธิ คลายออกมา ที่หลวงพ่อท่านบอกว่า ให้คลายออกมาแล้วพิจารณา
พอของเราคลายออกมาแล้วสภาพจิตบอกตัวเองเลยว่า เราไม่เอาแล้ว อย่างนี้ไม่ต้องพิจารณาแล้ว เห็นชัดแล้วว่าไม่ดีแน่ เราไม่เอา แต่ว่าก็เกิดจากการที่เราตอกย้ำของเก่าซ้ำแล้วซ้ำอีกมาจนนับครั้งไม่ถ้วน จึงเป็นปัญญาที่เริ่มคิดเองได้ว่า ไม่เอาแล้ว
ถ้าเราทำบ่อย ๆ จิตใจปลดวางได้จริง ๆ ต่อไปใจจะไม่เอาอะไร ก็จะเบาสบายไปตลอด
ถาม : จำอารมณ์ความรู้สึกที่ไม่เอานี้ได้
ตอบ : จำได้แล้วก็เริ่มทำใหม่
ถาม : หนูข้ามขั้นได้ไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าสามารถทรงได้เลยก็ข้ามไปได้ สำคัญที่ว่าพอถึงเวลาแล้วจะใช่ของจริงไหม ?
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-02-2011 เมื่อ 04:19
|