แต่ขณะเดียวกัน ถ้าทำได้แล้วการปฏิบัติไม่ก้าวหน้า ก็ขึ้นอยู่กับ ๒ ประการคือ ๑. เราทำเกิน ๒. เราทำขาด
การทำเกินในพระพุทธศาสนานั้น ตัวอย่างมีอยู่ท่านเดียว คือ พระโสณโกฬิวิสเถระ เดินจงกรมจนเท้าแตก เมื่อเท้าแตกเดินต่อไม่ได้ก็ใช้วิธีคลานไป เมื่อคลานจนเข่าแตก ฝ่ามือแตก ไปต่อไม่ได้ก็นอนลงกับพื้น แล้วเอาคางเกาะพื้นค่อย ๆ ดึงตัวเองไป นั่นคือบุคคลเดียวที่ทำความเพียรเกิน
แปลว่าพวกเราทั้งหลายทำความเพียรไม่พอ คือทำขาด ถ้าถามว่าทำเท่าไรถึงจะเพียงพอ ? ก็ต้องเอาคำพูดของหลวงพ่อวัดท่าซุงที่บอกว่า ต้องทรงอารมณ์ให้ได้ทุกวินาที อย่าให้ความดีคลาดไปจากใจ แต่ถ้าท่านทั้งหลายรู้สึกว่าตึงเกินไป เครียดเกินไป ก็เอาอย่างที่อาตมาเคยทำก็คือ เช้ามืดภาวนาให้อารมณ์ใจทรงตัวตั้งมั่น ทบทวนศีลทุกสิกขาบทให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ แล้วก็ออกไปทำการทำงาน
เมื่อปะทะกับสิ่งต่าง ๆ ที่เป็น รัก โลภ โกรธ หลง กำลังใจเริ่มตกต่ำ ช่วงกลางวันเมื่อพักเที่ยงก็รีบกินอาหาร ซึ่งไม่เกิน ๑๕ นาที เอาเวลาที่เหลือ ๔๕ นาทีมาภาวนา พอปะทะกับ รัก โลภ โกรธ หลง ไปใกล้จะหมดวันรู้สึกว่ากำลังจะไม่พอ ก็พอดีเรามาภาวนาช่วงค่ำของเราต่อ
เปรียบเสมือนกับเราจุดเทียนขึ้นมาตอนช่วงเช้า ๑ ดวง ความสว่างส่องมาก็ไม่เกินกลางวัน เราก็ต้องจุดเทียนตอนกลางวัน ๑ ดวงเพื่อให้แสงสว่างไปประสานกับช่วงเช้าแล้วแผ่ออกไปถึงช่วงเย็น แต่ว่าเลยช่วงเย็นไปเราก็มีกำลังไม่พอ มีความสว่างไม่พอ ก็ต้องจุดเทียนตอนเย็นอีก ๑ ดวง เพื่อแผ่มาประสานกับดวงตอนกลางวันและส่งกำลังต่อไปเพื่อให้ถึงค่ำคืนให้ได้ ก็แปลว่าอย่างน้อย ๆ ในแต่ละวัน เราก็ต้องมีเวลาในการภาวนาสัก ๓ ครั้งใหญ่ ๆ ด้วยกัน เราถึงจะรักษาอารมณ์ใจของเราเอาไว้ได้
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-04-2018 เมื่อ 03:16
|