ถาม : มีอารมณ์เกิดขึ้น คือ ระลึกรู้เองว่ามีเปลวไฟ เป็นมโนมยิทธิแต่ไม่ใช่ตาเนื้อ และเห็นเป็นกระดูก พิจารณาว่าเป็นกระดูกในตัว นั่นเป็นสิ่งที่เราสมมติขึ้นมา หรือว่าจิตเราบอก ?
ตอบ : เราไม่ได้ปฏิบัติธรรมมาเพียงชาติเดียว แต่ละคนกว่าจะมาถึงนี่ปฏิบัติกันมานับชาติไม่ถ้วนแล้ว กรรมฐานเก่า ๆ ในอดีตที่เคยทำได้มีอยู่ ส่วนไหนที่คล่องตัว ถ้าจิตสงบได้ที่ก็จะมาเอง
การเห็นโครงกระดูกก็เป็นอัฏฐิกอสุภะ การเห็นไฟก็เป็นเตโชกสิณ ถ้าความรู้สึกของเราทรงตัวมั่นคงแล้ว นิวรณ์กินใจไม่ได้แล้ว จะหันไปพิจารณาโครงกระดูกนั้นแทนก็ได้ ให้เห็นว่าสภาพร่างกายของเราก็ดี คนอื่นก็ดี สัตว์ทั้งหลายก็ดี ไม่มีแก่นสารอะไร ท้ายสุดก็ตายเหลือแต่โครงกระดูกแบบนี้ ให้ใจของเราเบื่อหน่าย หมดความอยากมี อยากได้ ในร่างกายของตัวเองและคนอื่น
หรือไม่ก็ถ้าหากว่าเปลวไฟปรากฏชัด เราก็กำหนดเปลวไฟเป็นเตโชกสิณ การกำหนดก็แค่เอาสติจดจ่ออยู่กับภาพตรงนั้น กำหนดว่าเตโชกสิณังไปเรื่อย ๆ ภาพไฟก็จะเปลี่ยนไปเรื่อย ยิ่งทำนานเท่าไร ความจางลง บางลง ของภาพนั้นก็จะมีมากขึ้น จนในที่สุดก็จะขาวสะอาด พอเราสามารถบังคับให้ใหญ่เล็กตามใจของเราได้ ก็ลองอธิษฐานใช้ผลของกสิณดู
แต่ว่าการปฏิบัติจริง ๆ แล้ว ถ้าเราทำอย่างไหนอยู่ให้ทำอย่างนั้นให้ตลอดไปก่อน จนอารมณ์ใจทรงตัวเต็มที่จริง ๆ ถ้าเป็นกรรมฐานทั่ว ๆ ไปคือให้ได้ฌาน ๔ ไปเลย แล้วหลังจากนั้นแล้วค่อยเปลี่ยนกองใหม่ ไม่อย่างนั้นเรามัวแต่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่ การทรงตัวก็จะไม่มี ผลที่จะเกิดจริง ๆ ก็ไม่ได้
ถาม : แล้วของโยมควรจะทำอย่างไรคะ ?
ตอบ : เอาของเก่าก่อน ถ้าเราดูลมก็ทำเต็มที่จนถึงทรงฌาน ๔ ไปเลย แล้วหลังจากนั้นแล้วค่อยเปลี่ยน ของที่เคยทำได้แล้ว ถึงเวลาขยับเปลี่ยนไปพักเดียวก็ได้แล้ว
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-06-2011 เมื่อ 02:52
|