หรือว่าเราจะพิจารณาตามแนวของไตรลักษณ์ คือลักษณะสามัญ ๓ อย่างที่คน สัตว์ วัตถุธาตุต่าง ๆ จะต้องประสบพบอยู่เสมอ ก็คือ
๑. อนิจจลักษณะ มีความไม่เที่ยงเป็นปกติ เกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงแปรปรวนไปในท่ามกลาง สลายตัวไปในที่สุด
๒. ทุกขลักษณะ มีความทุกข์เป็นปกติ ระหว่างที่ดำรงอยู่ก็ต้องทนต่อสภาพกระทบทั้งภายในภายนอกทุกประการ
๓. อนัตตลักษณะ คือความที่ไม่สามารถยึดถือเป็นตัวเป็นตนได้ เพราะสภาพร่างกายของเราก็ดี ของคนอื่นก็ดี ของสัตว์อื่นก็ดี ประกอบขึ้นมาจากธาตุ ๔ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม ให้อาศัยอยู่ตามบุญตามกรรมเพียงชั่วคราวเท่านั้น ถึงเวลาก็ต้องเสื่อมสลายตายพังไป
เมื่อเห็นชัดดังนี้ก็ไม่มีใครต้องการร่างกายที่เต็มไปด้วยความไม่เที่ยง เต็มไปด้วยความทุกข์ และไม่สามารถยึดถือเป็นตัวเป็นตนดังนี้ได้ ก็จะส่งกำลังใจไปสู่เส้นทางแห่งความหลุดพ้น คือพระนิพพาน
หรือว่าท่านทั้งหลายจะพิจารณาตามนัยของวิปัสสนาญาณ ๙ อย่าง เริ่มตั้งแต่อุทยัพพยญาณ คือ พิจารณาเห็นการเกิดดับ ทั้งของร่างกายตนเอง ของร่างกายคนอื่น ของร่างกายสัตว์อื่น เป็นต้น แม้กระทั่งลมหายใจเข้าออกของเราก็เกิดดับอยู่เป็นปกติ เริ่มต้นหายใจเข้าก็เกิดขึ้น ลมหายใจวิ่งผ่านกึ่งกลางอกไปก็ตั้งอยู่ เมื่อสุดลงที่ท้องก็ดับไป เป็นต้น หายใจออกจากท้องก็เกิดขึ้น ผ่านกึ่งกลางอกก็ตั้งอยู่ สุดที่ปลายจมูกก็ดับไป
จะพิจารณาเห็นการเกิดดับของทุกสิ่งทุกอย่าง แม้แต่อัตภาพร่างกายของเรา เมื่อเห็นว่าหาสาระแก่นสารที่แน่นอนไม่ได้ จิตใจก็จะเบื่อหน่าย ปลดถอนออกมาจากความต้องการยึดถือในร่างกายนี้ หันไปเกาะพระนิพพานแทน
หรือภังคานุปัสสนาญาณ พิจารณาเห็นความดับ คือเน้นความเด่นชัดในความดับสูญทุกอย่าง ว่าทุกสิ่งทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นร่างกายของเราก็ดี ร่างกายคนอื่นก็ดี ร่างกายสัตว์อื่นก็ดี วัตถุธาตุสิ่งของต่าง ๆ ก็ดี ล้วนแล้วแต่ต้องเสื่อมสลายตายพังไปทั้งสิ้น ในเมื่อต้องก้าวเข้าไปหาความดับสลายผุพังอยู่เป็นปกติ สภาพจิตก็จะเบื่อหน่าย คลายกำหนัด หมดความต้องการยึดถือในร่างกายของเรา ในร่างกายคนอื่น ก็จะหันไปเกาะพระนิพพานแทน
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-07-2012 เมื่อ 09:52
|