เมื่อเป็นเช่นนี้ การประคับประคองอารมณ์ใจของเราที่ทำได้ในขณะที่นั่งสมาธิภาวนา จึงเป็นหน้าที่สำคัญที่สุดซึ่งพวกเราทุกคนจะละเว้นไม่ได้ เนื่องเพราะว่าการปฏิบัติธรรมของเราเป็นการทวนกระแสโลก เหมือนการว่ายทวนน้ำ ถ้าเราไม่พยายามว่ายอยู่เสมอ ก็จะไหลตามกระแสน้ำไป ทำให้หาความก้าวหน้าในการปฏิบัติไม่ได้
ดังนั้น...ทุกท่านควรจะฝึกหัดในการภาวนาขณะที่เดินจงกรมบ้าง ขณะทำหน้าที่อย่างอื่นบ้าง เพื่อให้สภาพจิตเคยชินกับการทรงสมาธิภาวนาในเวลาที่เคลื่อนไหว เมื่อถึงเวลาลุกจากการปฏิบัติธรรมไปทำหน้าที่อื่น ๆ สมาธิจะได้ทรงตัว ไม่คลายตัวเร็วเกินไปนัก
ถ้าเราสามารถซักซ้อมทำอย่างนี้ได้นาน ๆ ระยะเวลาที่จิตปราศจากกิเลส ความผ่องใสมีมากขึ้นเท่าไร เราก็จะเห็นช่องทางในการละกิเลสต่าง ๆ เพื่อพิจารณารวบรัดตัดตรงเข้าหาพระนิพพานได้มากเท่านั้น
ลำดับต่อไปให้ทุกท่านภาวนาพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญานบอกว่าหมดเวลา
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันเสาร์ที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๙
(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยคะน้าอ่อน)
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-11-2016 เมื่อ 17:42
|