อยากบรรลุมรรคผลเร็ว ๆ
ส่วนใหญ่แล้วพวกเราใจร้อน อยากได้ดีเร็ว บางทีเราอาจจะไปอ่านในพระไตรปิฎก ไม่ว่าจะในพระสูตรบ้าง ธรรมบทบ้างว่า ท่านฟังธรรมะจากพระพุทธเจ้าจบ ก็บรรลุอรหัตผลพร้อมด้วยปฏิสัมภิทาญาณ แล้วเราก็อยากจะเป็นอย่างนั้นบ้าง โดยไม่ได้คำนึงว่า ตัวอย่างเช่นนั้นกลายเป็นสาเหตุใหญ่ที่ทำให้เราไม่ได้อะไร
ถ้าเราจะดูอย่างพระพาหิยะ ท่านฟังเทศน์พระพุทธเจ้าสั้น ๆ ก็บรรลุมรรคผล พระพุทธเจ้าตั้งให้เป็นเอตทัคคะบุคคล คือ บุคคลผู้เป็นเลิศในการบรรลุธรรมเร็ว ที่เราเห็นว่าเร็วคือชาตินี้ เราไม่ได้เห็นชาติก่อน ๆ ว่าท่านลำบากมาขนาดไหน ? ต้องทุกข์ยากฝ่าฟันมาขนาดไหน ? พระพาหิยะชาติก่อนท่านปฏิบัติธรรมจนอดตายคาถ้ำเลย พอมาชาตินี้เราก็ว่าท่านบรรลุเร็ว เพราะฉะนั้นถ้าชาตินี้เราอยากบรรลุเร็ว ก็ปฏิบัติให้ตายคาที่ไปเลย..! เดี๋ยวชาติหน้าเราก็จะบรรลุเร็วบ้าง เราเห็นแต่ตอนที่ท่านสบาย แต่ไม่ได้เห็นตอนที่ท่านลำบาก
เรื่องของการปฏิบัติในศีล สมาธิ ปัญญา อุปสรรคต่าง ๆ จะมีเป็นปกติและมีมากเป็นปกติ ฉะนั้น..ถ้าหากเจออุปสรรคแล้วหวั่นไหวท้อถอย โอกาสที่จะบรรลุมรรคผลก็น้อย เพราะฉะนั้น..ถ้าไปหวังให้บรรลุเร็วอย่างใจของเรา ยิ่งอยากมากเท่าไร ยิ่งห่างไกลมรรคผลเท่านั้น เพราะตัวอยากเป็นตัณหา ตัวอยากเป็นกิเลสมาขวางกั้น
หลายรายมาในลักษณะที่ว่าจะให้อาตมาเสก เป่า สวดให้กลายเป็นพระอรหันต์เดี๋ยวนั้นไปเลย ซึ่งความจริงก็น่าจะเป็นอย่างนั้น แต่คราวนี้ต้องบอกว่าภาชนะของพวกเราเล็กเกินไป ไม่สามารถที่จะรองรับธรรมที่ยิ่งใหญ่ขนาดนั้นได้ ก็เลยไม่ปรากฏผลสำเร็จเสียที ถ้าเป็นสมัยนี้ก็บอกว่าแรงน้อยไป ไม่พอแก่การใช้งาน ฉะนั้น..เรื่องของการปฏิบัติต้องค่อย ๆ สั่งสมไปทีละเล็กทีละน้อย อย่าท้อถอยเสียก่อน พระพุทธเจ้าจึงได้ยกขันติบารมีขึ้นมาเป็นข้อแรกในโอวาทปาฏิโมกข์เลย ขันตี ปรมัง ตโป ตีติกขา ขันติคือความอดกลั้น เป็นตบะ (เครื่องเผากิเลส) อย่างยิ่ง พูดง่าย ๆ ก็คือจะดีกว่าคนอื่นเขาได้ ต้องมีความเข้มแข็ง ต้องมีความอดทน
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-01-2014 เมื่อ 11:20
|