ดูแบบคำตอบเดียว
  #4  
เก่า 11-01-2024, 23:50
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,610
ได้ให้อนุโมทนา: 151,798
ได้รับอนุโมทนา 4,413,151 ครั้ง ใน 34,200 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วิปัสสนาญาณนี้มีเป็นจำนวนมากต่อมากด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นการพิจารณาตามแนวอริยสัจ ๔ ก็ดี ตามปฏิจจสมุปบาทก็ตาม หรือว่าพิจารณาในขันธ์ ๕ คือร่างกายนี้ อายตนะ ๑๒ ก็คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ บวกกับส่วนที่ออกไปสัมผัส คือรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส และธรรมารมณ์ หรือว่าธาตุ ๑๘

ลงไปจนกระทั่งถึงวิปัสสนาญาณทั้ง ๙ ตั้งแต่การพิจารณาเห็นการเกิดและดับเป็นปกติ หรือว่าเห็นการดับสิ้นทั้งปวง เห็นความเป็นทุกข์เป็นภัย เห็นเป็นของน่ากลัวในอัตภาพร่างกายนี้ เป็นต้น เมื่อเรายกเอาสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ขึ้นมาพินิจพิจารณา ถ้าหากว่าปัญญาเพียงพอ กำลังสมาธิของเราถึง ก็สามารถที่จะตัดขาดได้ตามนั้น

ดังนั้น..เราท่านทั้งหลายจะเห็นว่า ในเรื่องของสมถภาวนา คือการปฏิบัติให้เกิดกำลังสมาธิ และเรื่องของวิปัสสนาภาวนา คือการพิจารณาจนรู้แจ้งเห็นจริงนั้น เป็นเรื่องที่ไม่สามารถจะทิ้งขาดจากกันได้

เพราะว่าในส่วนของสมถภาวนานั้นเป็นการสร้างกำลังให้เกิด วิปัสสนาภาวนานั้น เหมือนอาวุธที่มีความคมกล้า เมื่อเรามีกำลัง สามารถยกอาวุธนั้นขึ้นมาตัดฟันสิ่งใดก็ได้ แต่ถ้าหากว่ากำลังไม่พอ มีอาวุธอยู่ ก็ไม่สามารถที่จะยกขึ้นมาตัดฟันอะไรได้ หรือว่ามีแต่อาวุธ ขาดกำลังที่จะยกขึ้นมาใช้งาน ก็ทำอะไรไม่ได้เช่นกัน

สมถภาวนาและวิปัสสนาภาวนาจึงเปรียบเสมือนบุคคลที่ผูกขาติดกันอยู่ เมื่อเราก้าวเท้าข้างหนึ่งไปข้างหน้า ก้าวจนสุดแล้ว ไม่สามารถที่จะก้าวต่อได้ เราต้องก้าวเท้าอีกข้างหนึ่งตามไป จึงสามารถที่จะได้ระยะทางเพิ่มขึ้น

ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายมาแยกการปฏิบัติ เอาแต่สมถภาวนาอย่างเดียว เมื่อกำลังใจของเราทรงสมาธิเต็มที่ที่เราทำได้แล้ว หลายท่านจะรู้สึกชัดเจนว่าเหมือนเดินไปถึงทางตัน แล้วไปต่อไม่ได้ เมื่อถึงในระดับนั้น ก็ขอให้ทุกท่านรีบยกเอาวิปัสสนาภาวนาขึ้นมาพินิจพิจารณา

ส่วนที่ง่ายที่สุดก็คือ
มองให้เห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างไม่เที่ยง ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นทุกข์ และท้ายที่สุดไม่มีอะไรให้เรายึดถือมั่นหมายเป็นตัวตนเราเขาได้ ถ้าหากว่าสภาพจิตยอมรับ กำลังสมาธิเพียงพอ เราจะสามารถตัดกิเลสได้ตามลำดับกำลังของเราที่เข้าถึงได้

แต่ถ้าพินิจพิจารณาไปแล้ว กำลังทุกอย่างยังไม่เพียงพอ สมาธิของท่านที่ทรงอยู่ได้ใช้จนหมดไป การพิจารณานั้นก็จะเลือนลางจืดจางลงไป เราต้องรีบกลับมาหาการภาวนาใหม่ จะเป็น "พองหนอ ยุบหนอ" ก็ได้ เป็น "พุทโธ" ก็ได้ เป็น "สัมมา อะระหัง" ก็ได้ หรือคำภาวนาอื่นใดที่ท่านทั้งหลายชอบใจก็ได้ จนกำลังสมาธิของเรามั่นคงแล้ว ค่อยยกเอาวิปัสสนาญาณขึ้นมาพิจารณาใหม่ ก็คือต้องสลับกันไปสลับกันมาแบบนี้ ถึงจะมีความเจริญก้าวหน้า
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-01-2024 เมื่อ 03:09
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 21 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา