หลังจากนั้น ถ้าตั้งใจตามดูตามรู้ลมหายใจต่อไป ก็จะรู้สึกว่าลมหายใจค่อย ๆ เบาลง หรือลมหายใจละเอียดขึ้น หรือบางทีรู้สึกว่าลมหายใจหายไปเลย บางทีคำภาวนาก็หายไปด้วย ถ้าถึงระดับนี้แสดงว่าสภาพจิตของท่านเข้าสู่ฌานที่ ๒ ที่เรียกว่า ทุติยฌาน
เมื่อท่านตั้งใจตามดูตามรู้อาการเหล่านั้น โดยที่ไม่ไปหวั่นไหวว่าขณะนี้เราไม่ได้หายใจ ขณะนี้เราไม่ได้ภาวนา เพียงแต่กำหนดดูกำหนดรู้ว่า ตอนนี้ลมหายใจของเราเบาลง ละเอียดขึ้น หรือว่าไม่หายใจแล้ว คำภาวนาของเราไม่มีแล้ว เอาจิตตามดูอยู่แบบนี้ ถ้าสามารถทำได้โดยไม่หวั่นไหว ไม่เคลื่อนไปไหน ก็จะเกิดมีอาการรู้สึกเหมือนกับว่า ร่างกายของเราแข็งเป็นหิน บางทีก็เริ่มรู้สึกจากปลายจมูก หรือบริเวณปาก บริเวณคางก่อน รู้สึกว่าเย็นจนแข็ง แล้วความรู้สึกก็ค่อย ๆ กระจายออกไป จนเหมือนรู้สึกแข็งไปทั้งตัว หรือบางทีก็รู้สึกเหมือนโดนใครมัดตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้าแข็งทื่อไปหมด ไม่สามารถที่จะขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวได้ ถ้าอาการอย่างนี้ปรากฏขึ้น ขอให้ทุกคนทราบว่า เราเข้าสู่ระดับฌานที่ ๓ หรือที่ภาษาบาลีเรียกว่า ตติยฌาน
ถ้าเรายังไม่หวั่นไหว ไม่คลายกำลังใจออกมา ยังตามดูตามรู้ว่า ตอนนี้ร่างกายเกิดอาการแบบนี้ ๆ ขึ้น กำหนดใจสบาย ๆ ตามดูไป ความรู้สึกทั้งหมดจะรวบเข้ามา ๆ จนกระทั่งรู้สึกสว่างไสวอยู่จุดเดียว อาจจะสว่างอยู่ตรงศีรษะ สว่างอยู่ตรงหน้า หรือว่าสว่างอยู่ในอก ความสว่างไสวเยือกเย็นจะปรากฏขึ้นมากเป็นพิเศษ สภาพจิตไม่สนใจสิ่งต่าง ๆ ภายนอก เสียงบังเกิดขึ้นก็ไม่รับรู้ ถ้าหากว่าลักษณะนี้ก็ขอให้ทราบว่า สภาพจิตของท่านเข้าสู่ฌานที่ ๔ หรือที่เรียกว่า จตุตถฌาน
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-10-2014 เมื่อ 02:16
|