พระอาจารย์กล่าวว่า "เดือนหน้าอาตมาก็มีนัดกับหมอตา หมอนัดวันวาเลนไทน์พอดี คงเห็นว่าเป็นพระไม่ได้ยุ่งเกี่ยวอะไรกับกิจกรรมวันวาเลนไทน์อยู่แล้ว
เรื่องของการเจ็บไข้ได้ป่วย ถ้ารู้จักพิจารณาจะเห็นว่าเป็นธรรมดาของร่างกายนี้ สังขารัง โรคะนิทธัง ปะภังคุณัง สังขารนี้เป็นรังของโรค มีแต่จะเน่าเปื่อยไปเป็นปกติธรรมดา เพราะฉะนั้น...ก็ดูแลรักษาให้เต็มที่ รักษาได้ก็ได้ รักษาไม่ได้ก็แล้วไป
ก่อนนี้ความรู้สึกของอาตมาคิดว่าก็ไม่ยาก แค่ทำใจว่า "รักษาได้ก็ได้ ไม่ได้ก็แล้วไป" แต่พอมาถึงตัวแล้วมักจะกลัวตายนะสิ ถ้ากลัวตายขึ้นมาคราวนี้ก็ "ไม่ได้" แล้ว ดิ้นรนสุดชีวิตเลย ถ้าเป็นนักปฏิบัติจะดีอยู่อย่างหนึ่งก็คือ ตอนอาการหนักมาก ๆ กำลังของ ทาน ศีล ภาวนา ที่เราทำมาทั้งหมดจะรวมตัว เราจะรู้เลยว่าเราต้นทุนมีเท่าไร เพียงพอที่จะไปพระนิพพานหรือไม่ ?
ถึงตอนนั้นก็พยายามรักษากำลังใจให้อยู่ในลักษณะที่ว่า "อยู่ก็ได้ ตายก็ดี" ก็คือ ไม่ได้อยากอยู่ แต่ไม่ได้อยากตาย
หลายท่านปฏิบัติไปถึงระดับหนึ่งแล้วรู้สึกว่าอยากตาย คิดว่าตัวเองดีแล้ว อาตมาขอยืนยันว่าเป็นอารมณ์ที่แย่มาก เพราะว่าอารมณ์อยากตายส่วนใหญ่จะมีความเศร้าหมองอยู่ด้วย ดีไม่ดีก็พาลงอบายภูมิไปเลย ต้องเป็นอารมณ์ลักษณะของสังขารุเปกขาญาณ คืออยู่ก็ได้ ตายก็ดี อยู่เราก็ได้สร้างบุญสร้างบารมี ตายเราก็ได้ไปพระนิพพาน เป็นคนดู ไม่ลงไปเป็นคนเล่นแล้ว นั่งดูแล้วแต่สังขารจะเป็นไป ทำได้แค่ไหนเอาแค่นั้น
เพราะฉะนั้น...เวลาไปถามหลวงปู่หลวงพ่อสายปฏิบัติว่า “หลวงพ่อสบายดีไหมครับ ?” “เออ...พอเป็นไปได้” อยู่กับไอ้ร่างกายนี้ จะไปสบายดีได้อย่างไร ? แบกทุกข์อยู่ตลอดเวลา ไปถามท่านว่าสบายดีไหม ? ท่านจะบอกว่าถามผิดก็ไม่บอก แค่บอกว่า “เออ...ยังพอเป็นไปได้อยู่”
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-01-2018 เมื่อ 03:15
|