"ของที่รับไปมากมายมหาศาลก็เอาไปแบ่งปันกัน แรก ๆ ก็ไล่ถวายวัดใกล้ ๆ ท่านก็งงว่าให้มาทำไม ? เพราะว่าไม่เคยเห็นพระทำบุญ ระยะหลังก็เป็นโรงเรียน พวกหน่วยทหาร ตำรวจ ป่าไม้ ที่อยู่ในที่กันดาร ปัจจุบันนี้ถ้าอยู่ทางด้านโน้น วัดท่าขนุนจะเป็นศูนย์กลาง เวลาเขาขาดแคลนอะไรก็จะวิ่งเข้าวัดท่าขนุน
บางทีเห็นวัดที่เขาอยู่ในที่กันดาร ที่ลำบาก เข้ามาเรี่ยไรในอำเภอ เดินอยู่เป็นวัน ๆ ได้ไปหน่อยเดียว ถามเขาว่าจัดงานอะไร ? เขาบอกจัดงานฉลองพระเจดีย์ เตรียมพวกข้าวสารอาหารแห้งจะไปเลี้ยงญาติโยมที่ไปทำบุญ เรี่ยไรอยู่เป็นวันได้มาหน่อยเดียว ก็เลยบอกเอาอย่างนี้แล้วกัน คุณเอารถไปขนที่วัดผม แล้วต่อไปไม่ต้องมาเรี่ยไรให้เหนื่อยหรอก อยากได้เมื่อไรก็ไปเอาแล้วกัน
แล้วอัศจรรย์อยู่อย่างหนึ่งว่า ยิ่งให้ก็ยิ่งมา ถึงกับบอกญาติโยมส่วนหนึ่งที่ไม่เข้าใจว่า ทำไมไม่ไปทำบุญกับวัดที่อยู่ไกล ๆ ? ทำไมไม่ไปทำบุญกับวัดที่อยู่กันดาร ? บอกเขาว่า คนที่มาทำบุญ เขาจะศรัทธาก็ต่อเมื่อเป็นพระที่เขาไว้ใจ ว่ารับไปแล้วไม่ว่าจะข้าวของเงินทอง เขาต้องได้บุญแน่นอน
อาตมาเองก่อสร้างวัดมา วัดปัจจุบันนี้เป็นวัดที่ ๘ แล้ว มีทั้งที่ไปบูรณะของเก่า แล้วก็มีที่สร้างจากพื้นดินเปล่า ๆ มา ๓ วัด ทุกครั้งจะไม่เคยบอกบุญกับญาติโยม ไปถึงก็ทำ ๆ ไปเรื่อย ใครมาเห็นเดี๋ยวเขาก็มาร่วมบุญเอง ปีแล้วปีเล่าก็ทำอย่างนี้
บางทีลูกศิษย์เขาก็ประเภทกล้าพูดกล้าถาม พระลูกศิษย์ถามว่า “พระอาจารย์สร้างภาพหรือเปล่า ? อะไรก็ไม่เอา อะไรก็สละออก” บอกกับเขาไปว่า “ถ้าหากว่าพระทั้งประเทศไทยพร้อมใจกันสร้างภาพแบบนี้ คุณว่าศาสนาของเราจะเจริญไหม ?”
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-11-2015 เมื่อ 18:42
|