ดูแบบคำตอบเดียว
  #2  
เก่า 15-07-2015, 11:14
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,526
ได้ให้อนุโมทนา: 151,473
ได้รับอนุโมทนา 4,406,349 ครั้ง ใน 34,116 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เราก็นำมาเป็นตัวอย่าง ถ้าเราศึกษาจนเกิดความเข้าใจ เกิดความเลื่อมใสในคุณพระรัตนตรัย ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติธรรมไป โอกาสที่เราจะเข้าถึงมรรคถึงผลก็มี ไม่เช่นนั้นก็เหมือนกับทัพพี ต่อให้คาอยู่ในหม้อแกงที่มีรสชาติเอร็ดอร่อยขนาดไหนก็ตาม ก็หาได้มีโอกาสลิ้มลองซึ่งรสแกงนั้นไม่ ในพระไตรปิฎกเปรียบเหมือนลูกจ้างเลี้ยงโค ไม่มีโอกาสที่จะได้รับรู้รสชาติของปัญจโครส ก็คือ นมสด นมส้ม เนยใส เนยข้น และน้ำมันเปรียงเลย เนื่องจากตนเองเป็นเพียงลูกจ้างเลี้ยงวัว ไม่ใช่เจ้าของวัว

การปฏิบัติธรรมของเรา ต้องปฏิบัติในลักษณะของเจ้าของวัว ก็คือลงมือลิ้มลองในส่วนของธรรมะที่ปรากฏอยู่ ด้วยการลงมือปฏิบัติจริง ๆ ไม่อย่างนั้นเราก็ได้แต่ศึกษาตำราไปคุยอวดกัน กลายเป็นติรัจฉานกถา คือคำพูดที่ขวางแนวทางการปฏิบัติ เพราะการไปถกเถียงกันเป็นเหตุให้ฟุ้งซ่าน ซึ่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตักเตือนเอาไว้ว่า อย่าได้กล่าววาจาอันเป็นเหตุให้เถียงกัน เพราะวาจาเป็นเหตุให้เถียงกัน ทำให้จำเป็นต้องพูดมาก บุคคลที่พูดมากจิตใจย่อมฟุ้งซ่าน บุคคลที่ฟุ้งซ่านย่อมห่างจากสมาธิ ดังนี้เป็นต้น

สำหรับพวกเราทั้งหลายนั้น การปฏิบัติธรรมขอให้เข้าใจว่า สิ่งที่เราจะทิ้งไม่ได้เลยก็คือลมหายใจเข้าออก เพราะว่าเป็นพื้นฐานใหญ่ของกรรมฐานทั้งปวง เมื่อภาวนาจนอารมณ์ใจทรงตัวแล้ว ให้ตั้งใจแผ่เมตตาไปสู่สรรพสัตว์ทั้งหลาย เมื่อแผ่เมตตาจนเต็มที่แล้ว ให้ถอนกำลังใจออกมาพิจารณาในวิปัสสนาญาณ ไม่ว่าจะเป็นการดูไตรลักษณ์ คือการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป การดำรงอยู่ท่ามกลางกองทุกข์ การไม่มีอะไรยึดถือมั่นหมายเป็นตัวตนเราเขาได้ หรือว่าจะดูในอริยสัจ มองทุกข์ให้เห็น หาสาเหตุของทุกข์ให้เจอ ระมัดระวังอย่าไปสร้างสาเหตุของทุกข์ ความทุกข์ก็ไม่เกิดขึ้นกับเรา

หรือว่าจะดูตามนัยของวิปัสสนาญาณ ๙ คือ ดูการเกิด การดับก็ได้ ดูว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแล้วแต่ดับไปก็ได้ ดูว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแล้วแต่เป็นโทษ ล้วนแล้วแต่เป็นภัย เป็นของน่ากลัว เป็นของน่าเบื่อหน่าย เป็นของที่ควรจะไปเสียให้พ้น เป็นของที่ควรจะหลีกหนี หาทางหนีให้พ้น จนกระทั่งสภาพจิตไม่ยึดเกาะสิ่งใด ๆ กลายเป็นสังขารุเปกขาญาณ ถ้าทำอย่างนั้นจนสภาพจิตทรงตัวจริง ๆ ท่านทั้งหลายก็สามารถที่จะก้าวล่วงจากกองทุกข์ เข้าสู่พระนิพพานได้

ลำดับต่อไปขอให้ทุกท่านตั้งใจภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูวิลาศกาญจนธรรม
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันศุกร์ที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๕๘

(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยทาริกา)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-07-2015 เมื่อ 15:15
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 42 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา