ในจิตของคนเรามีจริตอยู่ ๖ ประการที่เป็นอนุสัยให้เกิดกรรมดี กรรมชั่วในตัวเรา
๑. โลภจริต
๒. โทสจริต
๓. โมหะจริต
๔. พุทธจริต
๕. ศรัทธาจริต
๖. วิตกจริต
หากในข้อ ๑-๓ และข้อ ๖ เข้าครอบงำจิต ผู้นั้นจะเกิดความรุ่มร้อนเป็นบ่อเกิดแห่งความเดือดร้อน ทำให้ชีวิตยุ่งยาก ดิ้นรน ต่อสู้ทุกข์ทรมาน ไม่สงบ ไม่เพียงพอ ไม่สมหวัง ไม่หยุดหย่อน จิตกระสับกระส่ายอยู่ตลอดเวลา ไม่มีเวลาพัก จะว้าวุ่น วุ่นวาย คุ้มดีคุ้มร้าย อยู่ไม่สุข ถูกใจก็ดี ไม่ถูกใจก็ร้าย เมื่อไหร่ถูกจริตทั้งสี่เข้าครอบงำก็ต้องบอกว่า มืดหนอ ทุกข์ของสัตว์โลกหนอ น่าเศร้าหนอ นอน นั่ง ยืน โอดครวญ ร้องโหยหวน ตะโกนอยู่ในจิต จิตนี้จิตเราแท้ ๆ ต้องเจ็บปวดแทบตาย หาทางแก้ไขไม่ได้ ต้องทน ๆ อยู่อย่างนั้นไม่สิ้นสุดเพราะจริตทั้งสี่ครอบอยู่ มันหนัก ยกไม่ขึ้น เอาไม่ออก ถอนไม่ได้ อำนาจกิเลสทำให้จิตใจมันอ่อนแอ อยู่ก็ต้องทน ตายก็ไม่ตายแล้วจะเกิดมาทำไม ไม่อยากเกิดก็ต้องเกิด *ฟ้าต้องมีกฎของฟ้า ดินก็ต้องมีกฎของดิน น้ำก็มีกฎของน้ำ ไฟก็มีกฎของไฟ* กรรมมีกฎของกรรมเป็นอยู่อย่างนี้ เราโง่หรือกรรมฉลาด !
สำหรับข้อ ๔ -๕ หากมาเจริญในจิตจะทำให้เกิดความสงบสบาย เป็นสุข จิตเข้มแข็งมีพลัง สามารถต่อสู้อุปสรรค คิดค้นหาวิธีการเอาชนะความทุกข์ ศึกษาปฏิบัติทดลองตามคำสอนของพระพุทธองค์ สร้างสติปัญญาให้เข้มแข็ง รู้เหตุหาผล แก้ไขไม่ย่อท้อ ไม่สิ้นหวัง ไม่ยอมแพ้ ไม่เบื่อหน่าย ไม่ย่นย่อ ไม่รันทดในชีวิต ไม่ผิดหวัง
ทั้งนี้เพราะจิตมีฉันทะอยู่ในพระพุทโธ เป็นผู้รู้ทันจริต ตื่นจากจริต ดวงจิตเบิกบานบันเทิงธรรม จิตถอยจากกามคุณ ๕ จิตไม่รับรู้อกุศล รับรู้ในกุศลจิตมีความสดชื่นสบาย รู้ดีชั่ว รู้คุณโทษ รู้ควรไม่ควร รู้ปัจจัยแห่งทุกข์ รู้ปัจจัยแห่งสุข รู้วิธีดับทุกข์ รู้วิธีสร้างสุข รู้วิธีรักษาปกติสุขในจิต รู้แยกแยะ รู้จำแนก รู้รักษาดำรงสถิตสิ่งที่สร้างสุข รู้ทำลายสิ่งสร้างทุกข์ จิตเจริญธรรมฉันทะ ธรรมวิริยะ ธรรมสติ ธรรมสมาธิ ธรรมสัมปชัญญะ (ปัญญา) ที่เรียกว่า เจริญพละ ๕ อยู่ตลอดจิตมีสุข จิตจึงสงบ จิตคลายความกำหนัดจากกามคุณ ๕ คือ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสกาย
|