๕. เมื่อพระฉันนะต้องอยู่คนเดียว คนปกติมักจะฟุ้งซ่านหรือฟุ้งเลวเสมอ แต่สำหรับท่านเป็นนักสู้ ไม่ยอมท้อถอย การอยู่คนเดียวในธรรมปัจจุบัน คือ การพึ่งตนเองด้วยปัญญา ท่านเห็นทุกข์จากการเกิดมามีร่างกาย หรือทุกขสัจ ทุกข์ของกายนี้ หากไม่กำหนดก็ไม่รู้ว่าเป็นทุกข์ ยิ่งกำหนดบ่อย ๆ ก็ยิ่งเห็นทุกข์ของกายมากขึ้นเท่านั้น จึงเท่ากับเห็นอริยสัจ เห็นทุกข์จากความไม่เที่ยงของร่างกาย ที่ทั้งแสนจะสกปรก จิตของท่านตกเป็นทาสของร่างกายตั้งแต่ตื่นยันหลับ มีสภาพเหมือนตนเองต้องติดคุกตลอดชีวิต หรือต้องเลี้ยงลูกอ่อนตลอดชีวิต หากเราวางร่างกายหรือขันธ์ ๕ นี้ลงเสียได้ว่า มันหาใช่เรา หาใช่ของเราไม่ เราเพียงแค่อาศัยมันอยู่เพียงชั่วคราวเท่านั้น จิตเราก็จะเป็นอิสระหลุดพ้นจากร่างกายหรือการเกิดตลอดกาล
๖. เมื่อจิตของท่านบริสุทธิ์ขนาดนี้ คือ ตัดอุปาทานขันธ์ ๕ ได้ หรือตัดสักกายทิฏฐิได้ พระพุทธองค์ก็ส่งฉัพพรรณรังสีปรากฏกายให้พระฉันนะเห็น รับรองความคิดของพระฉันนะว่า ถูกต้องแล้ว จิตของฉันนะก็เข้าถึงความเป็นพระอรหัตผล ซึ่งความเป็นจริงแล้วถึงพระองค์จะมารับรองหรือไม่มาก็ตาม จิตของพระฉันนะก็ต้องจบกิจ เพราะหมดอุปาทานขันธ์ ๕ แล้ว
|