ในส่วนของสังโยชน์ ๑๐ นั้น ท่านให้ละสังโยชน์ ๓ ข้อแรก คือในส่วนของสักกายทิฐิ ความเห็นว่าตัวเราเป็นของเรา ทั้ง ๆ ที่ร่างกายนี้เป็นธาตุ ๔ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม เป็นสมบัติของโลกที่เรายืมมาใช้ชั่วคราว แล้วเราจะละอย่างไร ? ท่านให้ละด้วยการระลึกถึงความตายเป็นปกติ รู้ตัวอยู่เสมอว่าเราจะต้องตาย
วิจิกิจฉา คือ สังโยชน์อีกข้อหนึ่งที่ประกอบไปด้วยความลังเลสงสัย ว่าการปฏิบัติธรรมนี้ได้ผลจริงหรือไม่ ? พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ดีจริงหรือไม่ ? หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านแนะนำว่า ให้เราทำความเคารพในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อย่างจริงใจ ไม่ล่วงเกินด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง แล้วรักษาศีลทุกสิกขาบทให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ไม่ล่วงละเมิดศีลด้วยตนเอง ไม่ยุงยงส่งเสริมให้ผู้อื่นทำ ไม่ยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นทำ
ถ้าสามารถรักษากำลังใจในการละสังโยชน์ ๓ ในหัวข้อเบื้องต้นได้ในลักษณะนี้ ท่านให้โดดไปตัดอวิชชาตัวสุดท้ายเลย ท่านบอกว่าอวิชชาคือความเขลา ไม่รู้จริงนั้น ประกอบไปด้วย ๒ ศัพท์ ศัพท์แรก ก็คือ ฉันทะ มีความยินดี มีความพอใจ ตาเห็นรูปพอใจในรูป หูได้ยินเสียงพอใจในเสียง จมูกได้กลิ่นพอใจในกลิ่น ลิ้นได้รสพอใจในรส กายสัมผัสพอใจในสัมผัส เป็นต้น
ในเมื่อเกิดความพอใจขึ้นมาก็คือฉันทะ ก็จะเกิดราคะ คือความอยากมีอยากได้ ทำให้เรายึดติดอยู่ ไม่สามารถที่จะหลุดพ้นจากกองกิเลสได้ เราจึงต้องสร้างสมาธิภาวนาของเราให้เข้มข้นเข้าไว้ ด้วยการซักซ้อมภาวนาบ่อย ๆ เมื่อสมาธิเข้มข้นขึ้น สติก็จะแหลมคมว่องไว จากเห็นรูปก็จะหยุดอยู่แค่เห็น ไม่เก็บเข้ามาใส่ใจปรุงแต่งต่อ หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายสัมผัส ใจครุ่นคิดก็ลักษณะเดียวกัน เมื่อสติแหลมคม สามารถที่จะยับยั้งตนเองได้ ก็ต้องอาศัยกำลังสมาธิในการหักห้ามใจอีกส่วนหนึ่ง
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 29-10-2015 เมื่อ 12:14
|