ดูแบบคำตอบเดียว
  #2  
เก่า 28-04-2016, 15:00
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,133 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"หลังจากนั้นไม่นาน อาตมาก็ต้องมาบวช เพราะอะไร ๆ ก็เบื่อไปหมด ถ้าอารมณ์นี้เกิดขึ้นมา พยายามใช้ปัญญาคิดให้ได้ว่า ต่อให้เราเบื่อขนาดไหนก็ตาม แต่ว่าเรายังมีชีวิตอยู่ ถ้าสังขารนี้ยังดำรงอยู่ เราเบื่อแค่ไหนก็ยังจากไปไม่ได้ แต่ขึ้นชื่อว่าการเกิดมาที่น่าเบื่อหน่ายเช่นนี้ จะไม่มีสำหรับเราอีกแล้ว ชาตินี้ขอเป็นชาติสุดท้าย ตายเมื่อไรขอไปพระนิพพานดีกว่า ถ้าคิดอย่างนี้ได้ก็จะค่อย ๆ ก้าวข้ามความเบื่อ ไปเป็นสังขารุเปกขาญาณ คือรู้จักปล่อยวาง

การปล่อยวางก็คือ ตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายสัมผัส ใจครุ่นคิดก็ตาม สักแต่ว่าเห็น สักแต่ว่าได้ยิน สักแต่ว่าได้กลิ่น สักแต่ว่าได้รส สักแต่ว่าสัมผัส ไม่เก็บเอามาคิดต่อ หยุดความคิดเหล่านั้นเสีย ท่านถึงได้ใช้คำว่า สังขารุเปกขา ปล่อยวางการปรุงแต่ง ก็คือหยุดการคิด หยุดการปรุงแต่ง

ถ้าลักษณะอย่างนั้น รัก โลภ โกรธ หลง ก็เกิดขึ้นไม่ได้ เพราะว่าของทุกอย่างถ้าเราคิด จะออกไป ๒ ทาง ทางหนึ่งชอบใจ ซึ่งเป็นอารมณ์ฝ่ายราคะกับโลภะ ทางหนึ่งก็คือไม่ชอบใจ ซึ่งเป็นอารมณ์ของโทสะกับโมหะ มีแต่พาเราเสียทั้งคู่ ทำอย่างไรที่จะหยุดไม่คิดได้ ตาเห็นก็หยุดแค่นั้น อย่าคิดต่อ หูได้ยินให้หยุดอยู่แค่นั้น อย่าคิดต่อ จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายสัมผัสก็เหมือนกัน อย่าคิดต่อ เพราะว่าทุกวันนี้ที่เราทุกข์ เรากลุ้ม เราเครียด ปฏิบัติธรรมแล้วไม่เกิดผล ส่วนใหญ่เกิดจากความคิดของเราทำร้ายตัวเองทั้งนั้น"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-04-2016 เมื่อ 17:08
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 92 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา