พระอาจารย์กล่าวว่า "สมัยก่อนเขาบอกว่ายักษ์ไม่มีกระบองไม่มีคนเกรงใจ สมัยนี้รัฐบาลของเราเป็นยักษ์มีกระบองเพียบเลย แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร งง ๆ ใช้กระบองไม่เป็น ในการร่างรัฐธรรมนูญ แต่ละประเด็นที่เปิดเผยออกมา สื่อให้ประชาชนได้รู้ ส่วนหนึ่งเป็นความต้องการที่จะร่างรัฐธรรมนูญอย่างนั้นจริง ๆ แต่ว่าปล่อยออกมาในลักษณะการโยนหินถามทาง ว่าจะมีคนสนับสนุนหรือคัดค้าน ปรากฏว่าได้ก้อนอิฐแทบทุกครั้ง..!
โดยเฉพาะท่านที่มีการแสดงออกไม่เป็นที่ไว้วางใจ อย่างเช่นว่าตั้งคนรอบข้างมาช่วยงาน ก็ตัวเองเพิ่งจะไปเฉ่งชาวบ้านเขา แล้วก็มาทำเสียเอง ฉะนั้น..ตรงส่วนนี้ที่บอกว่าความกลับกลอกของจิตมีมาก ก็เพราะว่าเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง ก็คือ ถ้าเราทำเอง..ไม่เป็นไร แต่ถ้าคนอื่นทำ..ไม่ได้
ถ้าเราเข้าใจในเรื่องสภาพจิตของคน ที่มีรัก โลภ โกรธ หลงเป็นปกติ ก็จะไม่ตำหนิใคร แต่ว่าในเรื่องของประเทศชาติ อย่างไรเสียก็ควรที่จะพูด ควรที่จะแสดงออก เห็นด้วยก็แสดงออกว่าเห็นด้วย ไม่เห็นด้วยก็แสดงออกด้วยการคัดค้าน ถ้าหากว่าเราทำตัวเป็น "ไทยเฉย" ปล่อยให้ทุกอย่างล่วงเลยไป รัฐธรรมนูญที่ออกมามีผลบังคับใช้ยาวนานจนกว่าจะมีคนมาฉีกทิ้ง ถ้าสิ่งไหนที่ไม่เป็นสากลก็ให้รู้จักคัดค้านกันบ้าง ไม่ใช่ทำไม่รู้ไม่ชี้ไปเรื่อย
เรื่องของการเป็นสากล อย่างเช่นว่านายกรัฐมนตรีหรือประธานาธิบดีต้องมาจากการเลือกตั้ง อย่างนี้เป็นต้น ไม่ใช่มาจากการแต่งตั้ง ถ้ามาจากการแต่งตั้งเท่ากับว่าเปิดโอกาสให้อำนาจนอกระบบเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเมือง ซึ่งโอกาสที่จะตรวจสอบการทำงานก็เท่ากับถูกปิดตาย
ในส่วนของการร่างรัฐธรรมนูญ ความจริงถ้าเอาฉบับปี ๒๕๔๐ มาเพิ่มเติมบางประเด็นเท่านั้นก็สมบูรณ์แล้ว แต่ส่วนใหญ่แล้วรู้สึกว่าไหน ๆ เขาตั้งมาแล้ว ต้องทำหน้าที่ให้เต็มที่ ถ้าไปเอาของเก่ามาเดี๋ยวเขาจะหาว่าไม่มีฝีมือ ต้องบอกว่าหาเรื่องเหนื่อยเอง เป็นการหาเรื่องยืดระยะเวลาในการอยู่ในอำนาจ"
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-03-2015 เมื่อ 07:11
|