เราก็มาดูให้เห็นว่าร่างกายนี้มีสภาพที่ไม่เที่ยงจริง ๆ เป็นทุกข์จริง ๆ ไม่มีอะไรเป็นเรา เป็นของเราจริง ๆ หรือว่าจะรู้ตามแบบของอริยสัจทั้งสี่ คือหาสาเหตุของทุกข์ให้เจอ ถ้าเราเว้นเสียจากสาเหตุของทุกข์ ความทุกข์ก็จะไม่เกิดขึ้นกับเรา หรือดูตามนัยของวิปัสสนาญาณ ๙ อย่าง ตั้งแต่การเห็นความเกิดความดับ เห็นเฉพาะความดับ เห็นความเป็นทุกข์เป็นภัย เห็นเป็นของน่ากลัว เป็นต้น
สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ เมื่อเราคิดพิจารณาไปเรื่อย ๆ สมาธิจะค่อย ๆ ทรงตัว กลับมาสู่อารมณ์ภาวนาอีกครั้งหนึ่ง เมื่อเราภาวนาไปจนอารมณ์ใจเต็มที่แล้ว ก็กลับมาพิจารณาดังนี้ การปฏิบัติของเราจึงจะมีความก้าวหน้า ถ้าเราทำอย่างใดอย่างหนึ่งโดยเฉพาะอย่างเดียวเท่านั้น คือภาวนาโดยไม่พิจารณา หรือพิจารณาโดยไม่ภาวนา โอกาสที่กำลังใจของเราจะทรงตัวตั้งมั่นก็เป็นไปโดยยาก
ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้คือแนวทางคร่าว ๆ ถ้าท่านใดยังไม่มีกองกรรมฐาน หรือไม่แนวปฏิบัติที่มั่นคงของตัวเอง ก็ให้ยึดถือปฏิบัติตามแนวที่ว่ามาดังนี้ก่อนก็ได้ ลำดับต่อไปก็ให้ทุกคนตั้งใจดูลมหายใจเข้าออกของตน พร้อมกับคำภาวนาหรือพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา
พระครูวิลาศกาญจนธรรม
เทศน์ช่วงกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันอาทิตย์ที่ ๕ พฤษภาคม ๒๕๕๖
(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยรัตนาวุธและเถรี)
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-06-2013 เมื่อ 03:25
|