พ่อบอกว่าหลวงปู่ชุ่มเป็นพระอรหันต์ทรงปฏิสัมภิทาญาณ เวลาท่านมองเรานี่ มองเหมือนมองผ่านอากาศ โธ่เอ๋ย จะให้ความสำคัญกับเราสักนิดเหมือนยิ้มกับลูกหมาก็ไม่ได้ นี่เป็นจริยาอาการปกติของท่าน ผู้เขียนนึกไปถึงนั่น นึกถึงอากาสานัญจา วิญญานัญจา อากิญจัญญา เนวสัญญานาสัญญา แปลว่าอะไร... ก็ไม่รู้ อรูปฌานทั้ง ๔ นั่นแหละ ใจท่านคงทรงอารมณ์นั้น ๆ จนชิน เวลาไม่มีธุระจะพูดคุยกับผู้คน ก็อย่างนั้นแหละ มองอะไรเป็นอากาศ ไม่มีเหลือเลย จะว่าจำได้ รู้จักมักคุ้นก็ไม่ใช่ โอย..ผู้เขียนเกรงหลวงปู่องค์นี้มาก จะว่าไม่รู้จักไม่สนใจก็ไม่ได้ เพราะเวลาท่านจะเอาธุระกับเรา ตาอย่างนี้มีประกายหมายมั่น เสียงติดดุ ๆ เอาด้วย
ที่พูดถึงสามเณรที่มาด้วยนั้น ก็เพราะว่าหลวงปู่เป็นอย่างไร เณรก็แทบจะอาการเดียวกัน นั่งมองอะไรอย่างนี้ดูทะลุผ่านเลย เราเข้าไปประเคนถวายข้าวน้ำนี่..เอามือรับ แต่ตานี่เหมือนไม่สนใจเรานัก คุณตั้ว ศิษย์คนหนึ่งของหลวงพ่อ ซึ่งเป็นคนรับหน้าที่รับใช้พระที่กุฏิเบอร์ ๖ พูดถึงสามเณรว่า
"เณรนี่ ท่าจะไม่ค่อยเต็ม ดูเหม่อ ๆ อย่างไรบอกไม่ถูก"
แต่แล้ววันรุ่งขึ้นก็ต้องรีบไปกราบขอขมาท่านเณร เพราะพ่อเรียกตัวเข้าไปบอกว่า
"แกอยากลงนรกหรือ เณรนั่นทรงสมาบัติแปดได้เป็นปกติ อย่าปากหมาหาเรื่อง"
แล้วคืนนั้นแหละยืนยันกันชัด นี่ขอเล่าเรื่องสามเณรให้จบขาดไปก่อน คืนนั้น พ่อก็จัดพิธีพุทธาภิเษกวัตถุมงคลในพระอุโบสถ พระเถระที่มีโอกาสได้เข้าไปนั่งล้อมวัตถุมงคลมี ๑๑ องค์ คือพ่อ หลวงปู่สุปฏิปันโนอีก ๑๐ แถมสามเณรหนึ่ง เอาแล้วสิ ตอนพระอาจารย์ทั้งหลายพรมน้ำมนต์ที่วัตถุมงคล หลวงปู่ชุ่มให้สามเณรพรมแทน !
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 27-04-2009 เมื่อ 10:09
|