ชื่อกระทู้: การแก้อารมณ์หดหู่
ดูแบบคำตอบเดียว
  #8  
เก่า 05-04-2010, 11:03
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,886 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

๔. กฎของไตรลักษณ์คุมได้แค่ ๓ โลกนี้ แต่คุมไปไม่ถึงแดนนิพพาน ซึ่งจิตของบุคคลผู้มีคุณธรรมของ พระพุทธ พระธรรม และพระอริยสงฆ์สมบูรณ์แล้วเท่านั้น จึงจะเข้าสู่แดนพระนิพพานได้อย่างถาวร

๕. พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์เท่านั้นที่ท่านไม่ยึด ไม่เกาะ ไม่ติด ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกทั้งสามแล้วอย่างเด็ดขาด ท่านเห็นโลกทั้งภายนอกและภายใน เป็นแค่สภาวะของธรรมหรือกรรม ซึ่งเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไปอยู่เช่นนั้นเป็นธรรมดา (เห็นไตรลักษณ์ขั้นละเอียดสูงสุด) ไม่มีอะไรทรงตัวหรือเที่ยงเลย ท่านจึงวางสมมุติธรรมเพื่อเข้าสู่วิมุติธรรมได้

๖. พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์เท่านั้นที่มีอารมณ์เดียว คือ สังขารุเบกขาญาณทรงตัวเป็นอัตโนมัติ ในทางโลกเรียกว่า อารมณ์ช่างมัน อารมณ์สักแต่ว่า อุเบกขารมณ์ อารมณ์อากิญจัญญายตนะฌาน (โลกทั้งโลกที่สุดแล้ว ไม่มีอะไรเหลือ พังหมด อนัตตาหมด ใช้ยึดถืออะไรไม่ได้) บางท่านก็เรียกว่า อารมณ์อนัตตา

อารมณ์เหล่านี้ล้วนเป็นอารมณ์ดับความเกิด ซึ่งในทางปฏิบัติเริ่มมีตั้งแต่พระโสดาบัน แต่ยังหยาบและยังไม่ทรงตัว แล้วเจริญขึ้นตามลำดับ จนถึงละเอียดสุด และทรงตัว จึงจะเกิดอารมณ์สังขารุเบกขาญาณที่สมบูรณ์ ละถาวร เป็นอัตโนมัติตอนที่เป็นพระอรหันต์

๗. จากเหตุผลที่กล่าวมาแล้วนั้น คุณไสยทุกชนิดจึงไม่สามารถจะทำร้ายจิตท่านได้

๘. สำหรับพวกเราซึ่งยังเป็นเสขะบุคคล ยังเป็นบุคคลที่ยังมีกิจที่จะต้องตัด ละ วางกิเลส ตัณหา อุปาทาน และอกุศลกรรมอยู่ จึงต้องใช้คาถาที่พระองค์ทรงเมตตามอบไว้ให้ป้องกันตัว (จิต)

เมื่อว่าคาถาแล้ว ให้วางอารมณ์อยู่ในอารมณ์อนัตตาตามข้อ ๖ เป็นการชั่วคราว เพื่อให้จิตว่าง หรือพ้นจากอำนาจของมาร หรือกิเลสทั้งมวลได้ชั่วคราวเช่นกัน หากเราเป็นผู้ไม่ประมาทในธรรม หรือในความตาย หมั่นว่าคาถาป้องกันคุณไสยไว้ ก็เท่ากับเราซ้อมจิตของเราให้ทรงอยู่ในอารมณ์อนัตตา ในที่สุดจิตเราก็จะทรงตัว กลายเป็นฌานสมาบัติได้ เมื่อนั้นแหละ อารมณ์สังขารุเบกขาญาณที่สมบูรณ์ก็จะเกิดขึ้นกับเราได้โดยมิต้องสงสัย

๙. พระองค์ทรงตรัสไว้ว่า “วันหนึ่ง ๆ ไม่มีใครมาทำร้ายเราได้มากเท่ากับ อารมณ์จิตของเรา ทำร้ายจิตของเราเอง” พระธรรมประโยคนี้ สามารถนำมาอธิบายผลของคาถาบทนี้ได้อย่างดีที่สุด เพราะหากใจของเราไม่ยึด ไม่ติด ไม่เกาะ ทุกสิ่งในโลก โดยเฉพาะขันธโลก หรือร่างกาย หรือขันธ์ ๕ และทุกอย่างที่เกี่ยวเนื่องด้วยร่างกายแล้ว ทุกอย่างก็เป็นอนัตตาหมด เพียงแค่ขณะจิตเดียวที่ผ่านไปก็เป็นอนัตตาแล้ว หรือเป็นอดีตธรรมแล้ว

ผมก็เพียงแต่แค่คิดพิจารณาไป ตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระองค์เท่านั้น ของจริงยังไม่มีในตัวผม ผมจึงพูดง่าย เขียนและอธิบายได้ง่าย ๆ แต่พอนำไปปฏิบัติจริง ๆ ปรากฎว่ามันง่ายนิดเดียว

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ลัก...ยิ้ม : 07-04-2010 เมื่อ 10:45
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 27 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา