โดยเฉพาะร่างกายของเรา ร่างกายของคนอื่น ร่างกายของสัตว์อื่น หรือวัตถุธาตุต่าง ๆ ล้วนแล้วแต่ประกอบขึ้นมาจากธาตุ ๔ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม ไม่มีอะไรเป็นตัวตนให้เรายึดถือมั่นหมายได้ พยายามมองให้เห็น มองให้ชัด มองให้ละเอียด ถ้าหากว่าสภาพจิตเริ่มรู้สึกว่าไม่ไหว เลือนรางไป ก็กลับมาภาวนาใหม่ พออารมณ์ใจทรงตัวก็รีบหาวิปัสสนาญาณมาพิจารณาใหม่
พิจารณาว่าธรรมดาของเราที่เกิดมาแล้ว ต้องมีเสื่อมเป็นธรรมดาก็ได้ เกิดมาแล้วอยู่กับร่างกายที่เต็มไปด้วยทุกข์ด้วยโทษก็ได้ จนกระทั่งท้ายสุด ถ้าสภาพจิตของเราเข้าถึงความดีก็จะปล่อยวาง ไม่ปรารถนาในสภาพร่างกายอย่างนี้อีก เราจำเป็นต้องภาวนาและพิจารณาอย่างนี้ สลับกันไป สลับกันมา ถึงจะก้าวหน้า ไม่อย่างนั้น ถ้าสภาพจิตคลายออกมาแล้วไม่มีงานทำ ก็จะฟุ้งซ่านไป รัก โลภ โกรธ หลง และจะฟุ้งได้แรงมากจนเรายั้งไม่อยู่ เพราะว่าสภาพจิตเอากำลังจากที่เรานั่งสมาธิไปใช้ในการฟุ้งซ่าน เนื่องจากว่าเราไม่รู้จักใช้กำลังไปในการพิจารณา ถ้าลักษณะอย่างนี้เราก็จะเดือดร้อนมาก เพราะว่า รัก โลภ โกรธ หลง จะรุนแรงจนห้ามไม่อยู่
ดังนั้น เมื่อท่านทั้งหลายภาวนาแล้วก็ต้องพิจารณา เมื่อพิจารณาจนไปต่อไม่ได้ ก็กลับมาภาวนาใหม่ สลับกันไปสลับกันมาอย่างนี้ ความก้าวหน้าในการปฏิบัติจึงจะมีแก่พวกเราได้
ลำดับต่อไปขอให้ทุกท่านภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญานบอกว่าหมดเวลา
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านเติมบุญ
วันเสาร์ที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย คะน้า)
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-02-2019 เมื่อ 20:26
|