เรื่องทั้งหลายเหล่านี้เป็นเรื่องที่พระพุทธศาสนาของเราต้องการ เพราะว่าจะเป็นบุคคลตัวอย่างที่สามารถนำไปแสดงให้คนอื่นเขาเห็นได้ ว่าคนที่เขาทำถึงจริง ๆ แล้วจะเป็นแบบนี้ เรื่องทั้งหลายเหล่านี้จะมีขึ้นไม่ได้ ถ้าท่านทั้งหลายยังไม่รู้จักอยู่กับลมหายใจเข้าออก
คราวนี้การที่เราอยู่กับลมหายใจเข้าออก หรืออานาปานสติ ก็มีคำสอนหลายสำนักเหลือเกิน บางท่านก็ให้ภาวนา พุทโธ บางท่านก็ให้ภาวนา สัมมา อะระหัง บางท่านก็ให้ภาวนา นะมะพะธะ บางท่านก็ให้ภาวนา พองหนอ..ยุบหนอ เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ ไม่ใช่สาระสำคัญ เพราะว่าคำภาวนาเป็นแค่เครื่องโยงใจให้เป็นสมาธิ เมื่อเรามีสมาธิแล้วต่างหาก ถึงจะเป็นสาระ เป็นแก่นสาร ดังนั้น...คำภาวนาจะเป็นตัวบทพระคาถาใด ๆ ก็ได้
ถ้าอย่างหลวงปู่สมชาย วัดเขาสุกิม ท่านไม่ได้ใช้คำภาวนาเหมือนคนอื่น โยมพ่อของท่านเมื่อเลิกงานตอนเย็น ก็พาลูกไปกราบหลวงปู่หลวงพ่อที่วัด ไปสนทนาธรรม ด้วยความที่ใฝ่รู้ใฝ่ธรรม ก็เกรงว่าเด็ก ๆ จะรบกวนในระหว่างที่สนทนาธรรม จึงทิ้งหลวงปู่สมชายที่ยังเป็นเด็กเล็ก ๆ ไว้ที่ศาลา พอเวลามืดค่ำขึ้นมา วัดป่า..ก็รู้อยู่บรรยากาศวังเวงน่ากลัวขนาดไหน ผู้ใหญ่ยังรับไม่ค่อยจะไหว แล้วนี่เด็กตัวเล็กนิดเดียว
หลวงปู่ท่านเล่าให้ฟังว่า ท่านหลับตากอดเข่า คิดอยู่อย่างเดียวว่า "กลัวแล้ว..ไม่มาแล้ว กลัวแล้ว..ไม่มาแล้ว" ก็คือเป็นตายก็จะไม่ไปวัดในลักษณะอย่างนี้อีก ปรากฏว่าท่านคิดแบบนั้นอยู่ไม่นาน อยู่ ๆ ก็รู้สึกว่าความมืดหายไปหมด สว่างเจิดจ้าจนกระทั่งมองเห็นเหมือนกับกลางวัน แล้วก็สงสัยว่าไอ้คนที่กอดเข่าเอาหัวซุกเข่า ร้องว่า "กลัวแล้ว..ไม่มาแล้ว" นั่นคือใคร ? หน้าตาเหมือนกับเราเลย แล้วตัวเราที่มองเขาอยู่นั่นคือใคร ?
เมื่อถึงเวลาเล่าให้โยมพ่อฟัง วันต่อไปโยมพ่อเอาไปเล่าถวายหลวงพ่อที่ท่านเคารพ หลวงพ่อท่านก็บอกว่า "ลูกเขาภาวนาเป็น เขามีบุญดี" เพราะฉะนั้น...แค่คำว่า "กลัวแล้ว..ไม่มาแล้ว กลัวแล้ว..ไม่มาแล้ว" ก็ทำให้เกิดสมาธิขึ้นมาในระดับนั้นได้
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-03-2022 เมื่อ 02:14
|