เราจะสังเกตว่า การใช้ปัญญา มีทั้งปัญญาทางโลกและปัญญาทางธรรม การแก้ไขปัญหาของเทวดากอหญ้าคานี่เป็นปัญญาทางโลก คือ แก้ไขความเดือดร้อนที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันทันที
ส่วนปัญญาในทางธรรมนั้นเป็นปัญญาที่รู้ว่า ทำอย่างไรถึงจะไม่ให้กิเลสมากินใจของเราได้ อาจจะเป็นการเข้าสมาธิอยู่ ถ้าเราไม่คลายออกมา กิเลสก็กินใจเราไม่ได้ อาจจะเป็นการพิจารณา รู้แจ้งเห็นจริงแล้วจิตยอมรับ ปล่อยได้วางได้ กิเลสก็ไม่กำเริบมากินใจเราอีก
นี่คือสิ่งที่อยากจะฝากเอาไว้ว่า การที่เราบวชหรือว่าเราเป็นนักปฏิบัติ ปัญญานั้นสำคัญมาก ถือว่าสำคัญที่สุด เพราะว่าเรื่องของศีล เรื่องของสมาธิ นี่เป็นคำตอบแค่ขั้นต้นและขั้นกลางเท่านั้น คำตอบของนักปฏิบัติขั้นสุดท้าย จะอยู่ที่ปัญญาทั้งหมด
เมื่อพวกเราภาวนาจนอารมณ์ใจทรงตัวแล้ว เมื่อคลายกำลังใจออกมา ให้รู้จักพิจารณาให้เห็น ว่าร่างกายของเรามีสภาพความเป็นจริงอย่างไร เขาเรียกว่าไตรลักษณ์****** เพราะมีลักษณะ ๓ อย่างที่เหมือนกันหมด คือ
๑. มีลักษณะของความไม่เที่ยง ไม่ว่าจะตัวเราตัวเขา คน สัตว์ วัตถุธาตุ สิ่งของ ต้นไม้ เรือนโรงอะไรก็ตาม ล้วนแต่เกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงไปในท่ามกลาง และสลายตัวไปในที่สุด
๒. มีลักษณะของความเป็นทุกข์ คือ อยู่ก็ต้องทน สิ่งใดที่ต้องทนสิ่งนั้นเป็นทุกข์ อย่างตึกรามบ้านช่อง เราจะเห็นว่าอยู่ยงคงทน แล้วทุกข์ได้อย่างไร ? ชีวิตจิตใจก็ไม่มี นั่นเป็นทุกข์โดยสภาพที่เรียกว่าสภาวะทุกข์ คือ ก้าวเข้าไปสู่ความเสื่อมอยู่ตลอดเวลา ค่อย ๆ สลายไปเรื่อย เก่าไปเรื่อย ท้ายสุดก็พัง อยู่ไม่ได้
๓. มีสภาพเป็นอนัตตา ไม่สามารถจะยึดถือมั่นหมายเป็นตัวเป็นตนได้ ต้องพังต้องตายแน่นอน ไม่มีอะไรเหลืออย่างแน่นอน
เมื่อเราเห็นดังนี้แล้ว ให้ดึงเข้ามาข้างใน น้อมนำเข้ามาข้างใน พิจารณาตลอดตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ปลายเท้าจรดศีรษะแล้วว่า ไม่มีอะไรในร่างกายเราเที่ยง ไม่มีส่วนไหนที่ไม่ทุกข์ และไม่มีอะไรที่เป็นที่ยึดถือมั่นหมายได้ ล้วนแต่ตายหมด พังหมด
ตัวเราเมื่อเป็นอย่างนี้ ตัวคนอื่นก็ต้องเป็นอย่างนี้ เพศตรงข้ามจะให้สวยให้หล่อขนาดไหนก็ตาม ก็มีสภาพอย่างเดียวกับเรา ในเมื่อมีสภาพอย่างนี้ ถ้าเรามีความปรารถนาอีก ไม่ว่าจะตัวเราหรือตัวคนอื่น เราก็ต้องเกิดมาทุกข์อีก
ทุกวันนี้เราทุกข์พอแล้วหรือยัง ? เรากำลังดิ้นรนแสวงหาหนทางที่จะพ้นทุกข์อยู่ วาระสุดท้ายของชีวิตไม่ทราบว่าจะมาถึงเมื่อไร ถ้ามัวแต่ประมาทนิ่งนอนใจอยู่ เราตายเสียก่อน ก็จะพ้นทุกข์ไม่ได้
หมายเหตุ :
****** สํ.สฬ. ๑๘/๑/๑ : ขุ.ธ. ๒๕/๓๐/๕๑
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-08-2010 เมื่อ 10:25
|