ส่วนหนังก็เป็นที่รองรับของบาดแผลใหญ่น้อยทั้งร่างกาย เป็นฝี เป็นหนอง สกปรกโสโครก สารพัดความทุกข์ที่นำมาให้เรา แล้วท้ายที่สุดทั้งหมดนี้ก็เสื่อมสลาย พังไปพร้อมกับร่างกาย ไม่อาจยึดถือเป็นตัวตนเราเขาได้ ตัวเราก็เป็นเช่นนี้ ตัวคนอื่นก็เป็นเช่นนี้ ขึ้นชื่อว่าสภาพร่างกายที่ไม่เที่ยงอย่างนี้ เป็นทุกข์อย่างนี้ ไม่มีอะไรเป็นเรา เป็นของเราอย่างนี้เรายังต้องการอีกหรือไม่ ?
เมื่อคำตอบชัดเจนว่าไม่ต้องการ ก็ส่งจิตของเราขึ้นไปเกาะพระนิพพาน ตั้งใจว่าถ้าหากว่าวันนี้เราหมดอายุขัยตายลงไปก็ดี หรือถ้าหากว่าเราเกิดอุบัติเหตุอันตรายถึงแก่ชีวิตก็ตาม เราขอไปอยู่กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่พระนิพพานแห่งเดียวเท่านั้น ถ้ารักษาอารมณ์ไว้ลักษณะอย่างนี้ได้ก็จัดเป็นวิปัสสนาญาณ
โดยสรุปแล้ว ในส่วนของตจปัญจกกรรมฐาน คือกรรมฐาน ๕ มีหนังเป็นที่สุด เป็นได้ทั้งส่วนของสมถกรรมฐาน และวิปัสสนากรรมฐาน อยู่ที่เราว่ามีความพอใจปฏิบัติแบบไหน มีปัญญาเพียงพอที่จะมองเห็นหรือไม่
ลำดับต่อไป ให้ทุกท่านภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัยจนกว่าจะได้ยินสัญญาณบอกว่าหมดเวลา
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันเสาร์ที่ ๕ มีนาคม ๒๕๕๙
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย คะน้าอ่อน)
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-03-2016 เมื่อ 13:48
|