ดูแบบคำตอบเดียว
  #3  
เก่า 15-09-2009, 19:11
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,510
ได้ให้อนุโมทนา: 151,450
ได้รับอนุโมทนา 4,405,988 ครั้ง ใน 34,100 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เมื่อเราทำความเคารพในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อย่างแน่นแฟ้นแล้ว ตั้งใจทบทวนศีลทุกสิกขาบทให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ รำลึกอยู่เสมอว่าเราจะต้องตาย ถ้าหากตายแล้วเราขอไปพระนิพพานแห่งเดียว ถ้ากำหนดความรู้สึกของเรามั่นคงแน่นแฟ้นอย่างนี้ ทบทวนอยู่เสมอ ๆ ทุกวัน ๆ ถ้าท่านตายลงไปเมื่อไร ความเป็นพระอริยเจ้าขั้นต้น คือ พระโสดาบันจะเป็นของท่านอย่างแน่นอน

เมื่อเราดำรงอยู่ด้วยความไม่ประมาทเป็นปรกติ แต่ว่าการยึดถือมั่นหมายในร่างกายและโลกนี้ยังมีอยู่ เราก็ต้องมองให้เห็น ดูให้เห็นว่าสภาพที่แท้จริงของโลกนี้เป็นอย่างไร ถ้าหากว่ามองตนเองแล้วเห็นยาก มองออกไปภายนอกก็ได้ เห็นเด็กเล็ก ๆ ก็จะรู้ว่าไม่นานเขาก็จะโตเป็นหนุ่มเป็นสาว ก้าวเข้าไปสู่วัยกลางคน ก้าวไปสู่วัยชรา ท้ายสุดก็ต้องตาย เห็นต้นไม้ใบหญ้าต่าง ๆ เราก็ต้องรู้ว่ามันเริ่มงอกมาจากเมล็ดเล็ก ๆ เท่านั้น แล้วก็ค่อย ๆ เติบโต เปลี่ยนแปลงไปเรื่อย โตขึ้นไปเรื่อย ระหว่างที่เติบโตอยู่ ก็ต้องหาแร่ธาตุและน้ำเพื่อเป็นอาหารของตน ก็แสดงว่าประกอบไปด้วยความทุกข์เป็นปรกติ โดนหนอนโดนแมลงทำลายลำต้น ทำลายกิ่งใบ เหมือนกับร่างกายนี้ที่เจ็บไข้ได้ป่วยเป็นปรกติ ท้ายที่สุดเมื่อโดนทำลายมาก ๆ ก็หักโค่นล้มจมดินไป เหมือนกับสภาพร่างกายของเราและผู้อื่นที่จะต้องพบกับความตายเป็นปรกติ เมื่อเห็นตึกรามบ้านช่อง ไม่ว่าจะสร้างเสร็จใหม่ขนาดไหนก็ตาม เราก็ต้องเห็นไปว่า มันค่อย ๆ ก้าวไปสู่ความเก่า ท้ายสุดก็จะเสื่อมสลายพังลงไปจนได้ ไม่เวลาใดก็เวลาหนึ่ง เช่นเดียวกับร่างกายของเรา ซึ่งตอนนี้ยังแข็งแรงปกติอยู่ แต่ท้ายสุดก็สลาย ตาย พังไปเช่นกัน

ถ้าเราสามารถเห็นดังนี้ได้โดยตลอด แล้วก็รู้ด้วยว่าถ้าตายในขณะที่ไม่ได้ทรงความดี อบายภูมิจะเป็นที่ไปของเรา แต่ถ้าทรงความดี เกาะในศีล สมาธิ ปัญญาของเราไว้ได้ เบื้องต้นเราก็เกิดเป็นเทวดาเป็นนางฟ้า ทำได้เบื้องกลางก็เกิดเป็นพรหม ถ้าทำได้สูงสุดก็หลุดพ้นไปสู่พระนิพพาน ดังนั้น..ในทุกวันไม่ว่าท่านจะพบเห็นสิ่งใดก็ตาม ให้ดึงเข้ามาหาไตรลักษณ์ คือเห็นความเปลี่ยนแปลงของมัน เป็นอนิจจังอยู่ตลอด เห็นความต้องทนของมันเป็นความทุกข์อยู่เสมอ และท้ายสุดก็ไม่มีอะไรทรงตัวให้ยึดถือมั่นหมายได้ต้องเสื่อมสลายตายพังไปหมด เมื่อเห็นดังนี้ก็ให้ถอนกำลังใจออกจากการยึดเกาะ เพราะว่าไม่มีอะไรให้เรายึดเกาะได้อย่างแท้จริง เมื่อกำลังใจคลายจากการยึดเกาะเหล่านั้นได้ ความเป็นพระอริยเจ้าก็จะเป็นของเรา

ทุกวันให้ทบทวนอย่างนี้ เบื่อไม่ได้ หน่ายไม่ได้ ถ้ารู้สึกว่ายาก ให้กำหนดภาพพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่งไว้กับเราก็ได้ จะให้ไหลตามลมหายใจเข้า ไหลตามลมหายใจออกก็ได้ เมื่อกำหนดชัดเจนแจ่มใสแล้วก็ให้ตั้งความรู้สึกไว้ว่าพระพุทธเจ้าไม่อยู่ที่ใดเลย นอกจากพระนิพพาน เราเห็นท่านคือเราอยู่กับท่าน เราอยู่กับท่านคือเราอยู่บนพระนิพพาน แล้วให้กำหนดจิตจดจ่อตั้งมั่นอยู่ตรงนั้น

ถ้าทำอย่างนี้ได้ทุกวันความชัดเจนแจ่มใสของมโนมยิทธิก็ดี ของทิพจักขุญาณก็ดีก็จะมีมากขึ้นไปเรื่อยตามลำดับ ยิ่งซักซ้อมก็ยิ่งมีความคล่องตัวมาก ถ้าสามารถเอาจิตจดจ่ออยู่กับพระนิพพานได้นานเท่านานตามที่ต้องการ ท้ายสุดความหมดสิ้นกิเลสก็จะปรากฏขึ้นแก่เราเอง

สำหรับตอนนี้ก็ให้ทุกคน ถ้ามีลมหายใจเข้าออกอยู่ก็รับรู้ลมหายใจเข้าออก ถ้ามีคำภาวนาอยู่ก็รับรู้ซึ่งคำภาวนา ถ้าไม่มีลมหายใจเข้าออกไม่มีคำภาวนาก็ให้รับรู้ไว้เฉย ๆ ว่ามันเป็นอย่างนั้น ถ้ามีภาพพระก็เอาจิตจดจ่ออยู่กับภาพพระ ถ้าไม่มีภาพพระก็เอาใจจดจ่ออยู่กับความนิ่งสงบเย็นว่าเป็นเขตของพระนิพพานก็ได้ ให้กำหนดใจให้นิ่งสงบอยู่อย่างนี้จนกว่าจะหมดเวลาการปฏิบัติของเรา

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านอนุสาวรีย์
วันอาทิตย์ที่ ๖ กันยายน ๒๕๕๒
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 24-09-2009 เมื่อ 23:44
สมาชิก 45 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา