โอวาทช่วงงานบวชเนกขัมมะ ลอยกระทง ๖-๙ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๕๗
วันก่อนอาตมาซื้อทองไป ๖ กิโลกรัม ที่ราคาบาทละ ๑๘,๑๐๐ บาท วันต่อมาเหลือบาทละ ๑๗,๘๕๐ บาท ถามว่ารู้ไหมว่าจะลงมาขนาดนี้ ? รู้..แล้วก็รู้ว่าจะลงมากกว่านี้ด้วย แต่จะซื้อราคานี้ คือเรื่องของการซื้อขายจะมีราคาในใจของเราเองอยู่ อาตมาตั้งใจซื้อที่ ๑๘,๓๐๐ บาท ปรากฏว่ากว่าจะโทรสั่งเสร็จเหลือ ๑๘,๑๐๐ บาท ถือว่าได้กำไรบาทละ ๒๐๐ แล้ว
หลายคนเวลาปฏิบัติธรรมอยู่ในลักษณะอย่างนี้ เขาเรียกว่าคิดฟุ้งซ่านในเรื่องที่ไม่ควรคิด อาตมาเคยเปรียบเทียบว่าเราเก็บมะม่วงได้ ๕ ลูก เน่าไป ๒ ลูก ก็มานั่งเสียอกเสียใจ ไม่ได้คิดว่าที่ได้มายังเหลือดีอีกตั้ง ๓ ลูก แล้วของก็เก็บมาฟรี ๆ ไม่ได้มีอะไรเสียสักหน่อย มีแต่ได้ ในเรื่องของการปฏิบัติ เราภาวนาครั้งหนึ่งเท่ากับเราโกยบุญใส่ตัวครั้งหนึ่ง ภาวนา ๒ ครั้งโกยบุญใส่ตัว ๒ ครั้ง ภาวนาครั้งหนึ่งเดินเข้าใกล้พระนิพพานก้าวหนึ่ง ภาวนา ๒ ครั้งเดินใกล้พระนิพพาน ๒ ก้าว แต่คราวนี้ระยะทางที่ไปไกลจนประมาณไม่ได้ เราเดิน ๆ ไปแล้วอาจจะท้อว่าเมื่อไรจะถึงสักที ?
ถ้าหากว่ารู้สึกท้อให้มองกลับหลังไปดู ก่อนหน้านี้เราเป็นอย่างไร ศีล ๕ ก็ไม่มี เดี๋ยวนี้ศีล ๕ ของเราครบถ้วนสมบูรณ์ บางท่านพัฒนาไปถึงกรรมบถ ๑๐ หรือศีล ๘ แล้ว เราจะเห็นความก้าวหน้าของตัวเอง ภาษิตเขาว่า
“เห็นคนอื่นขี่ม้าอย่าไปอิจฉา เราขี่ลายังดีกว่าเดินเท้า” ม้าวิ่งเร็วนี่ ลาเดินก๊อก ๆ ไปทีละก้าว ขี้เกียจขึ้นมาก็นอนเฉยเลย แต่ดีกว่าเดินเอง คนเดินเท้ายังมีอีกตั้งเยอะ
คราวนี้เรามาดูว่าการปฏิบัติของเราที่ว่าไม่ก้าวหน้า ความจริงแล้วเราก้าวหน้า เราขี่ลาอยู่ก็อย่าไปมองคนขี่ม้า ยิ่งคนขี่รถสปอร์ตเฟอรารี่ยิ่งไม่ต้องไปมองใหญ่ มองคนที่เดินตีนเปล่าอยู่ข้างหลังเรา หรือไม่ก็มองคนที่ยังนอนตีพุงอยู่ ไม่ยอมลุกเดินเลย แล้วเราจะเห็นว่า เรามีความก้าวหน้ามากกว่าเขา แบบเดียวกับ
หลวงปู่พระพุทธพจนวราภรณ์ วัดเจดีย์หลวง ก่อนหน้านี้ท่านอยู่วัดป่าดาราภิรมย์ หลวงปู่เจ้าคุณจันทร์ท่านบอกว่า
“ยินดีในสิ่งที่ตนได้ พอใจในสิ่งที่ตนมี จะเป็นเศรษฐีในเรือนยาจก ไม่ยินดีในสิ่งที่ตนได้ ไม่พอใจในสิ่งที่ตนมี ก็เป็นแค่วณิพกในเรือนเศรษฐี”
หลวงปู่มหาอำพันท่านก็ว่า
“ความไม่พอพาจนเป็นคนเข็ญ” ถ้าไม่รู้จักพอก็จนอยู่นั่นแหละ จะไปให้ใครได้ ?
“พอแล้วเป็นเศรษฐีมหาศาล” รู้จักพอมีอะไรก็แบ่งปันคนอื่นเขาได้ ก็เท่ากับเรารวย