อันดับที่ ๒ ได้ออกกำลังกาย ทำให้เป็นผู้มีโรคน้อย อันดับที่ ๓ อาหารที่กินลงไปย่อยสลายได้ละเอียดขึ้น ดีขึ้น ร่างกายดึงเอาสารอาหารไปใช้งานได้มากขึ้น สิ่งที่หมักหมมตกค้างอยู่ในร่ายกายมีน้อยลง โรคภัยไข้เจ็บก็น้อยลง อันดับต่อไป ทำให้เป็นผู้อดทนต่อการเดินทางไกล
ถ้าเรายกหนอ ย่างหนอ เหยียบหนอ วันหนึ่งสัก ๑๐ ชั่วโมงก็เท่ากับว่าวันหนึ่งเราสามารถเดินทางได้วันละ ๑๐ ชั่วโมงเหมือนกัน ถ้ายกหนอ ย่างหนอได้ครั้งละ ๒ ชั่วโมง ก็เดินทางไกลได้ ๒ ชั่วโมงเช่นกัน เรามาเน้นตรงที่ว่า สมาธิที่ได้จากการเดินจงกรมทำให้เสื่อมได้ยาก แต่สำคัญที่ว่า การบริกรรมกับการเคลื่อนไหวต้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ยกหนอ ยก..ก็ยกเท้าขึ้น หนอ..ก็ยกสุดพอดี ย่างหนอ ย่าง..ก็เคลื่อนเท้าไปข้างหน้า หนอ..ก็เคลื่อนสุดพอดี เหยียบหนอ เหยียบ..ก็ลดเท้าลง หนอ..ก็แตะพื้นพอดี ให้ทุกอย่างเป็นปัจจุบันทันกันอย่างนี้
ถ้ากำลังใจเราอยู่กับการเคลื่อนไหวแบบนี้ตลอด ไม่หลุดไปสู่อารมณ์อื่น รัก โลภ โกรธ หลงจะกินใจเราไม่ได้ ในเมื่อ รัก โลภ โกรธ หลง กินใจของเราไม่ได้ แปลว่าความชั่วใหม่ไม่มี เกิดขึ้นไม่ได้ ความชั่วเก่าก็โดนขัดเกลาไปเรื่อย ๆ เหมือนอย่างกับบ้านหลังหนึ่ง โดนกวาดโดนถูไปเรื่อย ๆ ถ้าไม่สกปรกเพิ่มขึ้น เดี๋ยวก็สะอาดเอี่ยมทั้งหลังไปเอง เมื่อเป็นเช่นนั้น โอกาสที่เราจะขัดเกลากำลังใจของตนให้ผ่องใสก็จะมีมากขึ้น
วิธีการสังเกตว่าการปฏิบัติของเราได้ผลหรือไม่ได้ คือดูว่า กาย วาจา ใจ ของเราดีขึ้นหรือเปล่า ? หลายคนเข้มงวดกับตัวเองเวลาปฏิบัติ แต่พออยู่ที่บ้านมักจะปล่อยไปตามอารมณ์ กระทบอะไรเป็นด่ากระจาย หรือว่าต้องการให้ทุกอย่างเป็นไปได้อย่างกำลังใจของตนเอง ซึ่งเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ถ้าอยู่ในลักษณะอย่างนั้นขอให้รู้ว่า กำลังใจของเรายังหาดีไม่ได้
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-12-2014 เมื่อ 01:46
|