(ไม่ชัด) แปลว่าให้ขยันมากกว่านี้ แต่ว่าความขยันต้องขยันให้ถูกทาง ถ้าขยันผิดทางก็อย่างที่ว่าแหละ ทำงานทุกวันแต่ผลงานไม่มี เคยบอกหลายครั้งแล้ว การปฏิบัติธรรมเหมือนกับเราว่ายทวนน้ำ เมื่อเลิกปฏิบัติอย่าทิ้งทีเดียว แต่ให้รักษาอารมณ์ปฏิบัติเอาไว้ ไม่อย่างนั้นเราจะลอยตามน้ำ คือลอยตามกระแสกิเลสทางโลกไป แล้วถึงเวลาก็ตะเกียกตะกายว่ายคืนมาใหม่ กลายเป็นทำงานทุกวันแต่ผลงานไม่ได้เพิ่มขึ้น ถึงได้บอกว่าต้องขยันให้ถูกทาง
คราวนี้ในเรื่องของความขยันของเรานั้น ให้เน้นในส่วนของลมหายใจเข้าออก เอาแค่ว่าถ้าสามารถทรงปฐมฌานได้ ก็จะเป็นอย่างที่อาตมาตั้งความปรารถนาไว้แต่แรกว่า อย่างน้อยเราจะได้ตัดกิเลสเป็นพระโสดาบันกับเขาได้ การทรงปฐมฌานนั้นทำไมถึงสามารถตัดกิเลสเป็นพระโสดาบันได้ ? ก็เพราะว่าโดยปกติแล้วพวกเราโดนไฟใหญ่ ๔ กองคือ รัก โลภ โกรธ หลง เผาอยู่ตลอดเวลา เมื่อถึงเวลาทรงปฐมฌานได้ ไฟใหญ่ทั้ง ๔ กองจะโดนอำนาจของฌานสมาบัติกดดับลงชั่วคราว คนที่โดนไฟเผาอยู่ตลอดเวลา อยู่ ๆ ไฟดับลง มีความสุขสบายอย่างไร ไม่สามารถจะพูดเป็นภาษามนุษย์ได้ อย่างที่ภาษาพระท่านว่า ปัจจัตตัง คือคนที่ทำถึงจึงจะรู้เอง
ในเมื่อเกิดความสุขท่วมท้นล้นตัวเองขนาดนั้น ถ้ามีปัญญาคิดสักนิดหนึ่งว่า นี่เราเป็นแค่ปุถุชนธรรมดากิเลสท่วมหัว เข้าถึงการปฏิบัติธรรมแค่ผิว ๆ นิดเดียว ยังมีความสุขขนาดนี้ แล้วบุคคลที่เป็นผู้ทรงฌานที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ซึ่งละเอียดประณีตมากกว่า จะมีความสุขขนาดไหน ? แล้วท่านที่ทรงความเป็นพระโสดาบัน ปิดอบายภูมิอย่างเที่ยงแท้แล้ว มีแต่เจริญขึ้นโดยส่วนเดียวไม่มีทางตกต่ำ จะมีความสุขขนาดไหน ?
ท่านที่เป็นพระโสดาบันยังประกอบไปด้วย รัก โลภ โกรธ หลง เป็นปกติ แต่อยู่ในกรอบของศีล เมื่อไปถึงระดับพระสกทาคามีที่ รัก โลภ โกรธ หลง เหลือน้อยเต็มทีแล้ว ท่านจะมีความสุขยิ่งกว่าพระโสดาบันขนาดไหน ? แล้วพระอนาคามีที่ไม่ต้องมาเกิดให้ทุกข์ยากลำบากในโลกนี้ รออยู่ปฏิบัติธรรมที่สุทธาวาสพรหมเพื่อไปสู่พระนิพพานเลย ท่านจะมีความสุขขนาดไหน ? ท้ายที่สุดพระอรหันต์ที่ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิด มาทุกข์ทนทรมานอยู่อย่างพวกเรา ท่านจะมีความสุขขนาดไหน ?
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-12-2014 เมื่อ 13:58
|