การที่เราจะอยู่กับปัจจุบันธรรมนั้น วิธีที่ง่ายที่สุดคือผูกกำลังใจทั้งหมดของเราอยู่กับลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจเข้าไป ลมหายใจผ่านจมูก ผ่านกึ่งกลางอก ไปสุดที่ท้อง หายใจออก..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจออกมาจากท้อง ผ่านกึ่งกลางออก มาสุดที่ปลายจมูก
ถ้าเรากำหนดอย่างนี้เอาไว้ จนกระทั่งกำลังใจทรงตัวมั่นคง เกิดความแนบแน่นของสมาธิขึ้น ก็จะมีสภาพของการภาวนาเองโดยอัตโนมัติ เราไม่ต้องบังคับ การกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก และคำภาวนาก็สามารถที่จะเกิดขึ้นเองและต่อเนื่องไปเรื่อย ถ้าถึงระดับนี้เราก็แค่เอาสติจดจ่อประคับประคอง อย่าให้การภาวนาอัตโนมัตินี้หลุดหายไปก็พอ
ถ้าท่านใดทำได้ยิ่งกว่านี้ ก็แปลว่าสติสมาธิของท่าน ก้าวขึ้นสู่ระดับสูงกว่าปฐมฌานละเอียด ถ้าอย่างนั้นบางทีลมหายใจก็เบาลง หรือคำภาวนาหายไป บางท่านก็เกิดความรู้สึกรวบเข้ามาสู่ส่วนกลางส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย ก็คือรู้สึกเหมือนกับมือเท้าของเราเกิดชา แข็งขึ้น ๆ รวบเข้ามา ๆ
บางทีก็รู้สึกเหมือนโดนสาปแข็งเป็นหินไปทั้งตัว หรือที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า เหมือนโดนเขามัดติดหลักไว้ ตึงเป๋งไปทั้งตัว อย่าได้กลัวเมื่ออาการดังนั้นเกิดขึ้น แค่ให้กำหนดรู้ไว้เฉย ๆ ว่าตอนนี้อาการเป็นดังนี้
ความรู้สึกทั้งหมดเมื่อรวบเข้ามา ๆ แล้วก็จะสว่างโพลงอยู่จุดใดจุดหนึ่งที่เรากำหนดไว้ อย่างเช่นว่าตรงหน้า ในศีรษะ ในอก ในท้อง เป็นต้น ความรู้สึกจะสว่างไสวมาก สดชื่นเยือกเย็นมาก ประสาทหูไม่รับรู้เสียงภายนอก ถ้าหากว่าเป็นดังนั้นก็แสดงว่าท่านทรงระดับอัปปนาสมาธิถึงฌาน ๔ แล้ว
ความรู้สึกทั้งหมดจะจดจ่อต่อเนื่องอยู่เฉพาะหน้า สภาพจิตไม่ส่งไปในอดีตและไม่ส่งไปในอนาคต ความทุกข์ที่เกิดจากความคิดอื่น ๆ ก็ไม่มี กรรมต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นแม้เล็กน้อยอย่างมโนกรรมก็ไม่เกิด เพราะว่าเราหยุดอยู่กับปัจจุบัน ไม่ได้ฟุ้งซ่านไปสร้างมโนกรรมขึ้นมา
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-12-2011 เมื่อ 10:46
|