๑๔. อภัยจริงหรือไม่ ให้สังเกตตอนจิตถูกกระทบแล้วยังหวั่นไหวอยู่หรือไม่ หากจิตเกาะไม่ปล่อยวาง นั่นแหละคือการอภัยไม่จริง ถ้าจิตปล่อยวางไม่เอาเรื่องเหล่านี้มาคิด มาจำ หรือปรุงแต่ง ตรงนั่นแหละคืออภัยทานที่แท้จริง แต่อภัยทานจักเกิดขึ้นได้ก็ด้วยพิจารณากฎของกรรม คือทุกขสัจ หรืออริยสัจตามความเป็นจริง เห็นการยึดคือการเกาะติดสัญญา แล้วปรุงแต่งเป็นความเศร้าหมอง คือทุกข์เกิดขึ้นแก่จิตแล้ว เห็นเหล่านี้ด้วยปัญญาที่รู้แจ้งแทงตลอดเกิดขึ้นแก่จิตของตนเอง นั่นแหละจึงจักปล่อยวางสัญญาต่าง ๆ ลงได้สนิท อภัยทานเกิดได้ด้วยอาศัยปัญญาตรงนี้
พิจารณาสิ่งที่เห็นด้วยอายตนะ.. เกิดแล้วก็ดับ นั่นมิใช่ตัวตนของเรา และมิใช่ตัวตนของใคร มีเกิดขึ้น แล้วก็ตั้งอยู่ ดับไป เป็นธรรมดา ยึดถืออะไรไม่ได้ในอายตนะนี้ รูป – เวทนา – สัญญา – สังขาร - วิญญาณไม่เที่ยง ยึดเมื่อไหร่ก็ทุกข์เมื่อนั้น ให้ปล่อยวางลงด้วยอำนาจของวิปัสสนาญาณ รู้แจ้งเห็นจริงตามธรรมด้วยปัญญา พิจารณาใคร่ครวญไตร่ตรองให้รอบคอบ ความปล่อยวางก็จักเกิดขึ้นแก่จิตของผู้รู้ของตนเอง อยู่ในจิตนี่แหละ ความสุขความสงบก็จักเกิดขึ้นมาก ภัยภายนอก ภัยภายใน คุกคามอย่างไรก็ไม่ถึงจิต เรื่องของเขาก็เรื่องของเขา เรื่องขันธ์ ๕ ก็เรื่องขันธ์ ๕ เรื่องของเราก็คือจิตเท่านั้น รักษาจิตของเราให้อยู่ในธรรมเพื่อพระนิพพาน มุ่งตัดกิเลสเพื่อหลุดพ้นจากบ่วงมารเท่านั้นเป็นพอ อย่าคิดไปแก้กรรมภายนอก แก้กรรมในจิตด้วยจิตของตนเองเท่านั้นเป็นพอ หมดกรรมเมื่อไหร่ก็ถึงซึ่งพระนิพพานเมื่อนั้น นิพพานัง ปรมังสูญญัง นิพพานเป็นธรรมว่างอย่างยิ่ง จิตพระอรหันต์ว่างจากกรรมที่เป็นกิเลสทั้งปวง จึงจักเข้าถึงซึ่งพระนิพพานได้
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-01-2015 เมื่อ 10:28
|