เทศน์ช่วงทำกรรมฐานวันอาทิตย์ที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๕๒
นั่งท่าสบายของเราเอง กำหนดความรู้สึกทั้งหมดของเราอยู่ที่ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก จะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ ตามที่เราชอบ ตามอัธยาศัยของเรา
สองวันที่ผ่านมาได้กล่าวไปถึงเรื่องปีติ และนิวรณ์ ๕ สำหรับวันนี้ก็จะกล่าวต่อในเรื่องของสมาธิในลำดับที่สูงขึ้นไป คือในระดับของการทรงฌาน เมื่อเรากำหนดลมหายใจเข้าออกไป โดยให้สติตามดูตามรู้ทุกขั้นตอนที่ลมเข้า ตามดูตามรู้ทุกขั้นตอนที่ลมออก ถ้าสามารถทำอย่างนี้จนทรงตัวได้ จิตก็จะเริ่มเป็นฌาน คือความเคยชินระดับใดระดับหนึ่ง ซึ่งมีอยู่ด้วยกันทั้งหมด ๔ ระดับ ๘ ขั้นด้วยกัน ก็คือตั้งแต่ ปฐมฌาน ฌานที่ ๑ ทุติยฌาน ฌานที่ ๒ ตติยฌาน ฌานที่ ๓ และจตุตฌาน ฌานที่ ๔ แล้วหลังจากนั้นก็ให้กำหนดภาพกสิณ เมื่อได้ภาพกสิณคล่องตัวแล้วก็สามารถนำเอามาประกอบในการฝึก อรูปฌานที่ ๑ อรูปฌานที่ ๒ อรูปฌานที่ ๓ และอรูปฌานที่ ๔ ได้
รูปฌานที่ ๑-๒-๓-๔ และอรูปฌานที่ ๑-๒-๓-๔ นั้น รวมกันแล้วเรียกว่าสมาบัติ ๘ ในที่นี้จะกล่าวถึงอาการของรูปฌานเท่านั้น เพราะว่าอรูปฌานนั้นพวกเราน้อยคนนักที่จะฝึกปรือ เนื่องจากว่าเป็นของละเอียดและยากกว่ารูปฌานมาก สำหรับท่านทั้งหลายที่จับลมหายใจเป็นปกตินั้นท้ายที่สุดจิตก็จะนิ่งเข้า....นิ่งเข้า และเกิดสมาธิในระดับอัปปนาสมาธิตั้งแต่ปฐมฌานขึ้นไป เพราะว่าปฐมฌานหรือว่าฌานที่ ๑ นั้น ก็คือการที่กำลังใจของเราเกิดอารมณ์ต่าง ๆ ขึ้นดังนี้
ในส่วนของปฐมฌานหรือฌานที่ ๑ ต้องประกอบไปด้วย วิตก การคิดนึกตรึกอยู่ว่าเราจะภาวนา วิจารณ์ รู้อยู่ว่าเราจะภาวนาอะไร ลมหายใจเข้า ลมหายใจออกแรงหรือเบา ยาวหรือสั้น สามารถกำหนดกองลมได้หรือไม่ รู้ตัวว่ากำลังหายใจเข้า รู้ตัวว่ากำลังหายใจออก รู้ตัวว่าตอนนี้เราใช้คำภาวนาอย่างนี้ รู้ว่าตอนนี้ลมหายใจเข้าไปถึงไหน ออกมาจากไหน เป็นต้น อย่างที่สาม เรียกว่าปีติ ปีตินั้นคือความอิ่มเอิบใจ ความยินดี มีอาการต่าง ๆ ๕ อย่างด้วยกันคือ
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 03-11-2009 เมื่อ 09:50
|