ถัดจากนั้น เมื่อเรากำหนดดูกำหนดรู้ไป ตัวปีติก็จะหายไป เหลือแต่ตัวสุข สดชื่นสบายใจ และเอกัคตา คืออารมณ์ตั้งมั่นอยู่เฉพาะหน้า
อาการภายนอกที่ปรากฏก็คือ รู้สึกเหมือนกับว่าร่างกายนี้ค่อย ๆ แข็ง ตึงแน่นเข้ามา บางทีก็รู้สึกเหมือนโดนสาปให้เป็นหินแข็งทื่อไปทั้งตัว บางคนก็รู้สึกเย็นจากปลายมือปลายเท้ารวบเข้ามา ๆ บางรายก็เริ่มรู้สึกเย็นแถวปลายจมูก ริมฝีปาก จนถึงแถวคางเป็นวงอยู่ก็มี
ถ้าลักษณะนี้เกิดขึ้นก็แสดงว่า ท่านกำลังก้าวเข้าสู่ขอบเขตของตติยฌาน คือฌานที่ ๓ แล้ว เราไม่ต้องไปทำสิ่งใดทั้งสิ้น นอกจากกำหนดรู้ไว้เฉย ๆ อย่าไปอยากให้เป็นมากกว่านี้ และอย่าอยากให้เลิกเป็น
สภาพของสมาธิและร่างกายจะเป็นอย่างไรก็ช่าง เรามีหน้าที่กำหนดดูกำหนดรู้เท่านั้น ลมหายใจไม่มีให้รู้ว่าไม่มี คำภาวนาไม่มีให้รู้ว่าไม่มี สภาพจิตตอนนี้เป็นอย่างไรให้กำหนดรู้ไว้ตามนั้น
ถ้าท่านทำดังนี้ ความรู้สึกทั้งหมดก็จะก้าวเข้าสู่ความเป็นเอกัคตารมณ์ คือตั้งมั่นอย่างแท้จริง อารมณ์จะจดจ่อเป็นหนึ่งเดียวอยู่เฉพาะ ไม่สนใจต่อสิ่งใดทั้งนั้น ตอนช่วงนี้ประสาทร่างกายต่าง ๆ แยกออกจากจิตโดยสิ้นเชิง แม้คนตะโกนกรอกหูก็ไม่รู้สึก
ความรู้สึกทั้งหมดเหมือนกับว่ามีความเยือกเย็นสว่างไสวอย่างไม่มีประมาณ ปรากฏขึ้น ณ จุดใดจุดหนึ่ง อาจจะตรงหน้าของเราในระดับสายตา หรือว่าในศีรษะของเรา หรือว่าในอกของเรา จะอยู่ภายในหรือภายนอกร่างกายก็ได้
ความสว่างไสวเยือกเย็นอย่างประมาณไม่ได้นั้นปรากฏอยู่ จิตของเราจะไม่รับรู้ไม่สนใจสิ่งอื่นทั้งสิ้น ยกเว้นความสว่างไสวเยือกเย็นเฉพาะหน้านั้น ถ้าเป็นดังนี้ให้ทราบว่า ท่านก้าวเข้าสู่ฌานที่ ๔ หรือจตุตถฌานแล้ว
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 22-09-2010 เมื่อ 16:11
|