ดูแบบคำตอบเดียว
  #1  
เก่า 13-06-2017, 21:00
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,488
ได้ให้อนุโมทนา: 151,147
ได้รับอนุโมทนา 4,405,246 ครั้ง ใน 34,077 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันศุกร์ที่ ๒ มิถุนายน ๒๕๖๐

ให้ทุกคนตั้งกายให้ตรง กำหนดสติหรือความรู้สึกของเราไว้กับลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า...ให้ความรู้สึกทั้งหมดของเราไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก...ให้ความรู้สึกทั้งหมดของเราไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ที่เราถนัดมาแต่เดิม

วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ ๒ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๐ วันนี้จะกล่าวถึงเรื่องของการปฏิบัติภาวนาของเรา ว่าการที่เราตามดูตามรู้ลมหายใจเข้าออกของเรานั้น เท่าที่สังเกตดู พวกเราแบ่งออกเป็น ๒ พวก พวกที่ ๑ ก็คือ ไม่สามารถที่จะรักษากำลังใจให้อยู่กับลมหายใจเข้าออกได้ บางท่านถึงเวลาภาวนา สามารถอยู่กับลมหายใจเข้าออกได้ตามเวลา แต่พอเลิกภาวนาก็ทิ้งไปเลย

ส่วนอีกพวกหนึ่งสามารถอยู่กับลมหายใจเข้าออกของตัวเองได้ แต่ก็ไปติดอยู่แค่ลมหายใจเข้าออกนั้น เพราะว่าเป็นสภาพจิตที่ว่างจากกิเลสชั่วคราว มีความสุขเยือกเย็น รู้สึกสบาย ก็ไม่คิดที่จะทำอะไรให้มากไปกว่านั้น

ซึ่งทั้ง ๒ แบบนั้นล้วนแล้วแต่ใช้ไม่ได้ แต่สำหรับท่านที่เข้าถึงได้ก็ยังดี เพราะว่ามีสภาพจิตที่สงบระงับจากกิเลสได้ชั่วคราวด้วยอำนาจของสมาธิ แต่เป็นเพราะว่าท่านทั้งหลายไม่เห็นคุณค่าของสมาธิที่จะใช้ระงับยับยั้ง รัก โลภ โกรธ หลง และใช้ในการตัดรากเหง้าของกิเลสทั้งหมด กลายเป็นว่าท่านที่ทำได้ไม่เห็นคุณค่าก็ปล่อยทิ้ง ทำให้ตัวเองต้องฟุ้งซ่านอยู่เหมือนเดิม แล้วก็มาเครียด มากลุ้มใจกับสารพัดอารมณ์ ที่ประเดประดังเข้ามาทำลายทำร้ายชีวิตของเรา

อีกพวกหนึ่งก็มัวแต่เพลิดเพลินอยู่กับความสุขสงบชั่วคราวจากกำลังสมาธิที่ระงับกิเลสได้ ก็เลยลืมในการที่จะขุดรากถอนโคนกิเลสให้หมดไปจากใจของตนเอง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-06-2017 เมื่อ 02:59
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 50 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา