สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ถ้าสามารถทำได้ ก็จะประคับประคองการปฏิบัติของเราให้มีความก้าวหน้า เพราะว่าเราไม่ได้นั่งปฏิบัติอย่างเดียวแล้ว แต่ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถใดก็ตาม เราสามารถอยู่ในอารมณ์ของการปฏิบัติธรรมได้โดยตลอด
ในเมื่อเราสามารถรักษาอารมณ์ใจอย่างนี้ได้ ความผ่องใสของจิตมีมาก ปัญญาก็จะเกิดขึ้น ทำให้รู้ว่าเราต้องประคับประคองอารมณ์ใจอย่างไร ต้องคิด ต้องพูด ต้องทำอย่างไร จึงจะรักษาอารมณ์ใจให้ผ่องใส ปราศจากกิเลสได้ ถ้าสามารถรักษาอารมณ์ผ่องใสปราศจากกิเลสได้เช่นนี้ต่อเนื่องยาวนานพอ กิเลสไม่สามารถที่จะเกิดได้ ก็จะโดนอำนาจของฌานสมาบัติกดจนเฉาตายไปเอง
แต่ถ้ารู้สึกว่าการใช้อำนาจของฌานสมาบัติกดกิเลสนั้น เป็นเรื่องที่ลำบาก เหนื่อยยาก ก็หันมาใช้ปัญญาพิจารณา ให้เห็นว่าร่างกายของเราก็ดี ของคนอื่นก็ดี ของสัตว์อื่นก็ดี เกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงในท่ามกลาง สลายไปในที่สุด ระหว่างดำรงชีวิตอยู่ก็เต็มไปด้วยความทุกข์ ท้ายสุดก็ไม่มีอะไรให้ยึดถือมั่นหมายเป็นตัวตนเราเขาได้ ให้สภาพจิตของเรารู้แจ้งเห็นจริงตามนี้ ปราศจากความคิดที่อยากจะเกิดอีก มีสภาพจิตที่มุ่งตรงต่อพระนิพพานแห่งเดียว
ถ้าเป็นเช่นนั้นเราก็เอาสภาพจิตสุดท้ายของเรา เกาะไว้ที่พระนิพพาน ถ้ายังมีลมหายใจอยู่ก็ดูลมหายใจ รู้ลมหายใจของเราไป ถ้ายังมีคำภาวนาอยู่ เราก็กำหนดคำภาวนาไป ถ้าลมหายใจเบาลงหรือหายไป หรือคำภาวนาหายไป ก็ให้เรากำหนดรู้ว่าตอนนี้ลมหายใจเบาลง ลมหายใจหายไป หรือคำภาวนาหายไป ประคับประคองอารมณ์เช่นนั้นเอาไว้จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านเติมบุญ
วันเสาร์ที่ ๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐
(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยเถรี)
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-02-2017 เมื่อ 15:15
|