ข้อที่ ๓ คือ จิตตะ กำลังใจที่มุ่งมั่นต่อเป้าหมาย อย่างเช่น เมื่อช่วงบ่ายที่ได้กล่าวไว้ว่า เราจะไปพระนิพพาน นั่นคือเป้าหมายของเรา แต่เรารู้จักพระนิพพานจริงแล้วหรือ ? จึงได้วิสัชนากันเสียยาว ว่าสภาพพระนิพพานเป็นอย่างไร
สำหรับตอนนี้ ให้ทุกคนพิจารณาว่า กำลังใจของเรายังแน่วแน่ต่อเป้าหมายคือพระนิพพานเพียงใด ? หรือมีการเปลี่ยนแปลงแปรปรวน สั่นคลอนไปตามสภาพของกิเลสที่ถาโถมเข้ามาหาเราอยู่ตลอดเวลา ?
โดยเฉพาะข้อสุดท้ายของอิทธิบาท ๔ คือ วิมังสา เราจะต้องรู้จักไตร่ตรองทบทวนอยู่เสมอ ๆ ถ้าหากว่าเป็นธุรกิจสมัยนี้ ก็คือการสรุปและประเมินผลงานนั่นเอง
เราจะต้องรู้ตัวว่า เราทำอะไร ? เพื่ออะไร ? ปัจจุบันนี้เรายังมุ่งตรงต่อเป้าหมายนั้นหรือไม่ ? เรามุ่งมาแล้วได้ระยะทางใกล้ไกลเท่าไร ? ยังห่างจากเป้าหมายเท่าไร ? ยังต้องใช้ความเพียรพยายามทุ่มเทอีกเท่าไร ?
ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายสามารถที่จะนำเอาหลักธรรม คืออิทธิบาท ๔ นี้ มาใช้ในการประเมินโดยที่ไม่เข้าข้างตนเองแล้ว เราก็จะรู้ว่า ในช่วงปี ๒๕๕๓ ที่ผ่านมานั้น การปฏิบัติของเรา ก้าวหน้า คงที่ หรือว่าถอยหลังกันแน่ ?
ถ้าหากว่ามีความก้าวหน้า ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่น่ายินดี ที่ท่านทั้งหลายสามารถใช้กำลังกาย กำลังใจ กำลังสติปัญญา ในการปฏิบัติธรรมแล้วเกิดผลแก่ตนเองมากขึ้น
ถ้าหากว่าคงที่อยู่ ก็ยังนับว่าใช้ได้ เพราะว่าเราทวนกระแสโลกขนาดอยู่เฉย ๆ ก็ถือว่าถอยหลังแล้ว เพราะโลกหมุนไปข้างหน้าอยู่ตลอดเวลา ถ้าเรารักษาระดับคงที่เอาไว้ได้ ก็ถือว่ากำลังใจของเราอยู่ในระดับที่ใช้ได้ ไม่ถึงกับแพ้ให้แก่กิเลส
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-01-2011 เมื่อ 11:32
|