เมื่อพิจารณาธรรมมาถึงจุดนี้ สมเด็จองค์ปฐม ก็ทรงพระเมตตาตรัสสอนว่า
๑. “เป็นอันว่า เจ้าเริ่มเข้าใจอารมณ์พรหมทัณฑ์แล้ว จง
หมั่นระวังรักษาอารมณ์นี้ไว้ให้ดี ๆ ใหม่ ๆ ก็จักมีเผลอบ้าง พลาดบ้าง จิตตกเป็นทาสของอารมณ์พอใจ ไม่พอใจอยู่บ้างเป็นธรรมดา”
๒. “
ขอจงตามดูและรู้การเสวยอารมณ์ รู้หนทางแก้ไขของอารมณ์ รู้หลักการระมัดระวังอารมณ์พรหมทัณฑ์ นำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ โจทย์จิตของตนเองเอาไว้ให้ดี ๆ ถ้าหากทำได้ถึงที่สุด พวกเจ้าจักไม่อยู่แค่อนาคามีผลหรอก พวกเจ้าจักบรรลุพระอรหัตผลได้อย่างพระองค์ที่ ๖๑ ในพุทธันดรนี้เช่นกัน” (กรุณาอ่านรำลึกถึงความดีของหลวงพ่อในอดีต หลวงพ่อฤๅษีวัดท่าซุง เรื่องนางมาติกมาตา หน้า ๑๔๘ บรรทัดสุดท้ายว่า พระองค์ที่ ๖๑)
๓.
“อย่าลืมพระพุทธศาสนาสอนให้พ้นทุกข์กันที่จิต แต่ขณะเดียวกัน ต้องไม่เบียดเบียนร่างกายด้วย สอนให้วางเฉย คือ ยอมรับกฎของธรรมดาของร่างกาย จิตก็จักมีความสุขสงบ ไม่ดิ้นรนในกฎของกรรมนั้น ๆ เพราะไม่ว่าจักดิ้นรนอย่างไร ก็หนีกฎของธรรมดานั้นไปไม่พ้น”
๔. “
การพ้นทุกข์ของจิต คือ การกำหนดรู้อารมณ์ของจิต และหมั่นชำระล้างปล่อยวางซึ่งอารมณ์ที่เป็นกิเลสนั้น ๆ จนกระทั่งหมดซึ่งตัณหา อุปาทาน อกุศลกรรมที่เข้ามาครอบงำจิต อารมณ์สงบอยู่ในอุเบกขารมณ์ได้ กล่าวคือ ถึงซึ่งสังขารุเบกขาญาณ หมดอารมณ์โมหะ โทสะ ราคะ ที่จักเบียดเบียนจิตและกายของตนลงได้ และสิ้นการเบียดเบียนกายและจิตของบุคคลอื่นลงได้เช่นกัน
สุดท้ายหมดความเบียดเบียนซึ่งจิตและกายของตนเอง และผู้อื่นอย่างหมดจด จึงได้ชื่อว่าสิ้นทุกข์ในพระพุทธศาสนา คือถึงซึ่งพระนิพพานอย่างถาวร”
๕. “
อย่าลืม ทุกอย่างจักสำเร็จลงได้ด้วยความเพียร และจากนิสมฺม กรณํ เสยฺโย ใคร่ครวญเสียก่อนแล้วจึงคิด จึงพูด จึงทำ เห็นคุณ เห็นโทษในกรรมอันจักมาแต่เหตุ นั่นแหละเป็นประการสำคัญ เมื่อเข้าใจตามนี้ จงพยายามทำความเข้าใจ ให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป โดยการใคร่ครวญในธรรม”
ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น เล่ม ๖
รวบรวมโดย พล.ต.ท. นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน
ขอเชิญทุกท่านเข้าไปอ่านได้ที่
www.tangnipparn.com