นั่นคือลักษณะที่ท่านให้เราทำโดยการลองผิดลองถูกไปเรื่อย ว่าทำไมภาวนาแล้วไม่เกิดผล ? ตอนที่เกิดผลเราวางกำลังใจอย่างไร ? ลักษณะนี้ภาษาบาลีท่านเรียกว่า ธัมมวิจยะ คือการรู้จักแยกแยะในธรรม ผลไม่ดีเกิดขึ้นเพราะเราสร้างเหตุอะไร ? ผลดีเกิดขึ้นเพราะเราสร้างเหตุอะไร ? แล้วก็ละเว้นในเหตุที่ไม่ดี สร้างแต่ที่ดี ๆ ผลที่เกิดขึ้นกับเราก็จะดีตลอดไป
จะว่าไปแล้วก็เป็นแค่หลักการง่าย ๆ แต่ว่าพวกเรามักจะคิดไม่ถึง หรือคิดถึง..แต่ก็ทำไม่ถึง จึงเป็นเรื่องที่ต้องมาเคี่ยวเข็ญให้ปฏิบัติกันอยู่ โดยจัดการปฏิบัติปีหนึ่ง ๙ ครั้งบ้าง ๑๐ ครั้งบ้าง ๑๑ ครั้งบ้าง อย่างปีนี้ก็ ๑๑ ครั้ง ถ้ารวมส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ก็ครบโหลพอดี ๑๒ ครั้งด้วยกัน แต่อย่ารอให้จัดปฏิบัติธรรมแล้วเราค่อยมาภาวนา เพราะว่าการปฏิบัติของเรานั้น เป็นการทวนกระแสโลก เราปล่อยเมื่อไรก็ไหลตามกระแสเมื่อนั้น เมื่อเป็นดังนั้น..ก็จำเป็นที่เราต้องว่ายทวนกระแสอยู่ตลอดเวลา ถึงจะเอาตัวรอดพ้นจากวัฏสงสารนี้ได้
ถ้ารอว่าเมื่อไรจะมีการจัดปฏิบัติธรรม แล้วเราค่อยไปปฏิบัติ ชาตินี้คงจะเอาดีได้ยาก เวลาทุกวินาทีเป็นเวลาที่กิเลสมารหลอกเรา ล่อเรา ลวงเราให้หลงทาง เราหลงเตลิดเปิดเปิงไปเป็นระยะทาง สมมติว่า ๑๐๐ กิโลเมตร แล้วเราเดินกลับมาได้สักครึ่งกิโลเมตร ก็โดนเขาหลอกเปิดเปิงไปอีกเป็นร้อยกิโลเมตรเลย แล้วเดินกลับมาได้อีกสักกิโลเมตรหนึ่ง แบบนี้อีกกี่ชาติเราถึงจะไปสู่จุดหมายปลายทางที่ต้องการได้ ?
เพราะฉะนั้นการปฏิบัติจึงต้องมีวิริยะ ความพากเพียร ทิ้งไม่ได้เด็ดขาด มีสัจจะ ความจริงจัง จริงใจ ไม่เปลี่ยนแปลงต่ออุดมการณ์ของเราที่ตั้งใจไว้ว่าปฏิบัติแล้วต้องการอะไร อย่าลืมเป้าหมายของตัวเอง และท้ายสุดต้องมีปัญญา รู้ว่าอะไรหนัก อะไรเบา อะไรควร อะไรไม่ควร การปฏิบัติของเราจึงจะก้าวหน้า ไม่อย่างนั้นแล้วมีแต่จะถอยหลังขาดทุนอยู่ร่ำไป
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-11-2014 เมื่อ 10:40
|