ดูแบบคำตอบเดียว
  #548  
เก่า 23-07-2020, 22:20
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,887 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

เคล็ดลับ.. ภูมิจิตภูมิธรรม

ธรรมของพระพุทธเจ้าที่สถิตอยู่ในปุถุชน หรือพระอริยบุคคลแต่ละชั้นแต่ละภูมิ เป็นได้ทั้งธรรมจริงและธรรมปลอม ดังนี้
“... พระสงฆ์มีหลายประเภทตามขั้นตามภูมิ ตั้งแต่กัลยาณปุถุชนขึ้นไปหาเสขบุคคล อเสขบุคคล คำว่าเสขบุคคล คือผู้เป็นพระอริยเจ้าแล้ว แต่ยังต้องศึกษาเพื่อธรรมขั้นสูงขึ้นไป ตั้งแต่ขั้นพระโสดาถึงขั้นอรหัตมรรค ส่วนอเสขบุคคลนั้น หมายถึงผู้สิ้นสงสัย ผู้ได้บรรลุถึงพระอรหัตผลล้วน ๆ แล้ว รวมแล้วก็เรียกว่า พระอริยเจ้า...


ถึงขั้นโสดาบันแล้ว ก็เป็น อกุปปธรรม คือไม่กำเริบกลายมาเป็นตัวเป็นตนอีก สกิทาฯ อนาคาฯ เป็นอกุปปธรรมเป็นขั้น ๆ ตามขั้นของตน คือไม่เสื่อมลงมาขั้นต่ำ ยิ่งอรหัตผลแล้วก็ผ่านไปเลย หมดปัญหา กุปปธัมโม อกุปปธัมโม นั่น ...

ธรรมของพระพุทธเจ้าตามธรรมชาติแล้วเป็นของบริสุทธิ์ แต่เมื่อมาสถิตอยู่ในปุถุชนก็กลายเป็น “ธรรมปลอม” เมื่อสิงสถิตอยู่ในพระอริยบุคคลจึงเป็น “ธรรมจริงธรรมแท้”

คำว่า “อริยบุคคล” มีหลายขั้น คือ “พระโสดาบัน” เป็นอริยบุคคลชั้นต้น ชั้นสูงขึ้นไปก็มี “พระสกิทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์” เป็นสี่

ธรรมในชั้นพระโสดาบันก็เป็นธรรมจริง ธรรมบริสุทธิ์สำหรับพระโสดาบัน แต่ธรรมชั้น “สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์” เหล่านี้ พระโสดาบันยังต้องปลอมอยู่ภายในใจ แม้จะจดจำได้ รู้แนวทางที่ปฏิบัติอยู่อย่างเต็มใจก็ตาม ก็ยังปลอมทั้ง ๆ ที่รู้ ๆ อยู่นั่นเอง

“พระสกิทาคามี” ก็ยังปลอมอยู่ในขั้น “พระอนาคามี” และ “พระอรหันต์”

“พระอนาคามี” ก็ยังปลอมอยู่ในขั้น “อรหัตธรรม”
จนกว่าจะบรรลุถึงขั้น “อรหัตภูมิ” แล้วนั่นแล ธรรมทุกขั้นจึงจะบริบูรณ์สมบูรณ์เต็มเปี่ยมในจิตใจ ไม่มีปลอมเลย...”


เทศนาตอนหนึ่งขององค์หลวงตา กล่าวถึงการตอบปัญหาธรรมด้านจิตภาวนาของพระอริยบุคคลแต่ละขั้นละภูมิ ดังนี้
“...ในหนังสือที่มีอยู่ในธรรมบทที่กล่าวว่า กัลยาณชนไม่สามารถตอบปัญหาของพระโสดาบันได้ พระโสดาบันไม่สามารถตอบปัญหาของพระสกิทาคามีได้ พระสกิทาคามีไม่สามารถตอบปัญหาของพระอนาคามีได้ พระอนาคามีไม่สามารถตอบปัญหาของพระอรหันต์ได้


แม้พระอรหันต์ก็ไม่สามารถตอบปัญหาของพระโมคคัลลาน์ พระสารีบุตรได้ ถึงพระสารีบุตร โมคคัลลาน์ ก็ไม่สามารถตอบปัญหาของพระพุทธเจ้าได้ คือความสามารถต่างกัน พอถึงขั้นอรหันต์ก็พอแล้ว

ส่วนที่ว่าพระสารีบุตร โมคคัลลาน์ไม่สามารถตอบปัญหาพระพุทธเจ้าได้นั้น หมายถึงความกว้าง แคบ ลึก ตื้นแห่งความรู้นั้นต่างกัน นอกจากความบริสุทธิ์ไปแล้วยังมีความลึกตื้นต่างกัน กว้างแคบต่างกัน ภูมิของพระพุทธเจ้าเป็นพุทธวิสัย ภูมิของพระสารีบุตร โมคคัลลาน์เป็นสาวกวิสัย .. จึงต่างกัน

สามัญวิสัย กับ อริยวิสัย ก็ผิดกัน แต่ละขั้นละภูมิ มีเคล็บลับประจำขั้นภูมินั้น ๆ ถามเคล็ดปั๊บก็ติด ดังพระเรียนจบพระไตรปิฎกครั้งพุทธกาล แต่ลืมเนื้อลืมตัวดูถูกเหยียดหยามพระปฏิบัติ หาว่านั่งหลับหูหลับตา.. ไม่ทำประโยชน์อะไรให้แก่โลก เลยจะเอาปัญหามาถามพระปฏิบัติท่าน

พระพุทธเจ้าทรงทราบ จึงเสด็จมาท่ามกลางสงฆ์ที่กำลังสันนิบาตนั้นว่า พวกนี้กำลังจะมาทำลายลูกศิษย์เราตถาคต แล้วมันจะไปตกนรกกันทั้งหมด ท่านไม่ได้กลัวพระปฏิบัติจะเสีย ท่านว่าพวกนี้จะตกนรกกันทั้งหมด

พอเสด็จถึง พระองค์ทรงตั้งปัญหาขึ้นปั๊บ ถามพวกใบลานเปล่าตอบไม่ได้ รับสั่งถามพระปฏิบัติปั๊บ ตอบได้ผึง ยกปัญหาขึ้นปั๊บ ถามพวกนั้นนิ่งเหมือนคนตายแล้ว ตอบไม่ได้ วกกลับมาถามพระปฏิบัติ.. ตอบได้ปุ๊บ ๆ ตลอด จากนั้นพระพุทธเจ้าก็แสดงธรรมขนาบเสียอย่างเต็มที่ว่า
“พวกเธอนั้นน่ะ เหมือนกับลูกจ้างเลี้ยงโคให้เขา ได้ค่าจ้างเพียงรายวัน ๆ เท่านั้น ไม่เหมือนลูกของเรา หมายถึงพระปฏิบัติซึ่งเป็นเจ้าของโค โคก็เป็นสมบัติของตัว น้ำนมโคก็ได้ดื่มเต็มเม็ดเต็มหน่วยตามความต้องการ


พูดเรื่องธรรมก็เป็นเจ้าของธรรม เป็นธรรมสมบัติ เป็นมหาสมบัติ พวกเธอนี้เพียงแต่เรียนและจดจำมาเฉย ๆ ธรรมสมบัติอันแท้จริงยังไม่เคยได้ดื่มบ้างเลย ส่วนลูกของเราตถาคตทั้งได้ปฏิบัติ ทั้งได้ดื่มธรรมรสโดยสมบูรณ์ จึงไม่ควรประมาท’

ปัญหาที่พระพุทธเจ้าทรงรับสั่งถามเป็นปัญหาทางด้านจิต พอมาถามพวกปฏิบัติตอบได้ผึง ๆ เลย...”

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-07-2020 เมื่อ 02:30
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 10 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน