ดูแบบคำตอบเดียว
  #2  
เก่า 26-05-2013, 19:20
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,575
ได้ให้อนุโมทนา: 151,708
ได้รับอนุโมทนา 4,411,187 ครั้ง ใน 34,165 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ในการที่เราจะพิจารณาเพื่อแก้ไขการประพฤติปฏิบัติของเรา ต้องเป็นการพิจารณาแบบไม่เข้าข้างตัวเอง ใช้หลักการพิจารณาของบรรพชิต (นักบวช) ๑๐ ประการก็ได้ ที่ท่านพิจารณาว่า กาย วาจา ใจ ที่ดีกว่านี้ยังมีอยู่ เราต้องทำกาย วาจา ใจ เหล่านั้นให้ได้... ตัวเราเองติเตียนตัวเราเองโดยศีลได้หรือไม่ ?... ผู้รู้พิจารณาแล้วติเตียนตัวเราเองโดยศีลได้หรือไม่ ?...ฯลฯ เป็นต้น

โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับพระรัตนตรัย ถ้ากำลังใจของเรายังหยาบอยู่ การประพฤติปฏิบัติที่หยาบ อาจจะล่วงละเมิดในพระรัตนตรัย เป็นการปรามาสในพระรัตนตรัยด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ โดยตัวเราเองก็ไม่รู้สึกว่าเป็นการปรามาสพระรัตนตรัย ในเมื่อเป็นดังนั้น โอกาสที่จะเป็นพระอริยเจ้าก็ไม่มีเลย เมื่อยังไม่เคารพในคุณพระรัตนตรัยอย่างแท้จริง ยังมีการล่วงเกินด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจอยู่เป็นปกติ ย่อมขาดคุณสมบัติที่จะเป็นพระโสดาบันไปโดยปริยาย เท่ากับปิดประตู ตัดโอกาสเข้าถึงมรรคผลของตนไปอย่างน่าเสียดาย

ดังนั้น..ในการปฏิบัติทุกครั้ง ให้เราทบทวนตนเองอยู่เสมอว่า เราทำอะไร ? เพื่ออะไร ? ตอนนี้ทำไปถึงไหน ? ยังเหลืออีกมากน้อยเท่าไร ? เรายังมุ่งตรงต่อเป้าหมายหรือไม่ ? เป็นต้น

ถ้าท่านทั้งหลายปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ มีการสำรวมกาย วาจา ใจเป็นปกติแล้ว เราก็มาดูในเรื่องของลมหายใจเข้าออกพร้อมกับคำภาวนาของเรา เพราะถ้าลมหายใจเข้าออกทรงตัว ก็แปลว่าสมาธิของเราตั้งมั่น ความแหลมคมของสติสัมปชัญญะจะมีขึ้น สามารถรู้เท่าทันกิเลสต่าง ๆ ที่จะมาชักจูงเราไปสู่ฝ่ายต่ำ เมื่อเป็นดังนั้น..เราก็จะสามารถระมัดระวัง ป้องกันกาย วาจา ใจของเรา ไม่ให้ไหลลงสู่ที่ต่ำได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-05-2013 เมื่อ 02:09
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 57 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา